วันนี้ผมไม่ได้จะมาขายประกัน และก็ไม่ได้จะมาแนะนำประกันด้วย แต่ผมอยากมาเล่ามุมมองของผม กับเรื่องประกัน รวมทั้งความผิดพลาดของผมเอง ด้วยความที่ยังไม่ได้เข้าใจ และ ความรู้ยังน้อย ในอดีต, คนที่มาอ่าน จะได้ไม่พลาดเหมือนอย่างที่ผมเคยพลาดมาก่อนนั่นเอง
ประกัน ไม่ใช่เครื่องมือออมเงิน
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่อยากให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ก่อน ว่าแท้จริงแล้ว ประกันไม่ใช่เครื่องมือออมเงินแต่อย่างใด แม้ว่าปัจจุบัน จะมีประกันหลายอย่างที่เค้าออกแบบ และ design ให้ดูเหมือนเป็นเครื่องมือออมเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินคืนรายปี หรือ เงินคืนตอนที่เราเกษียณก็ตาม ในปัจจุบันมีการบิดเบือนวิธีการนำเสนอไปเยอะ แต่อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่ามันไม่ใช่เครื่องมือออมเงิน
ที่พูดแบบนี้ ก็เพราะว่าเครื่องมือออมเงินนั้น มีตัวอื่นที่ทำหน้าที่ได้ดีกว่าการซื้อประกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคงสูง อย่าง การออมเงินในทองคำแท่ง หรือ ออมเงินใน Bitcoin เพราะสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะถูกทำลายโดยคน หรือ องค์กร หรือ การบริหารงานอะไรที่ผิดพลาด ก็ไม่สามารถทำลายมันได้ แต่ว่าบริษัทประกัน สามารถล้มละลาย หรือ หายไปจากตลาดได้
นอกเหนือจากนั้น ประกัน ที่เสนอขายในลักษณะออมเงิน จะมีจุดด้อย ที่ชัดเจน เหมือนกันแทบทั้งหมด ก็คือ “วงเงินที่คุ้มครองจะต่ำ” ศัพท์ทางการเค้าจะเรียกว่า ทุนประกันต่ำ ตัวอย่าง ประมาณว่า เบี้ยประกัน 30,000 บาทต่อปี สำหรับเพศชายวันกลางคน สามารถได้รับทุนประกันชีวิต จากประกันชีวิตแบบปกติที่ประมาณ 5 ล้านบาท แต่ว่าถ้าเป็นประกันออมทรัพย์ อาจจะเหลือเพียง 3 แสนบาทเท่านั้น ต่างกันเยอะมาก ทั้งที่เราจ่ายเงินเท่ากัน เหตุเพราะเค้าต้องเอาเงินเราไปลงทุน แล้วก็ปันผลการลงทุนกลับมาให้เราอีก ผลตอบแทนจึงน้อยลงไปมาก
ถ้าอยากออมเงิน ออมเงินในสินทรัพย์อื่นดีกว่าประกัน
เราจะต้องแยกหน้าที่กันอย่างชัดเจน ว่าเรากำลังออมเงิน เราก็ต้องออมเงิน ในสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือในระยะยาว และรักษาเงินออมเราได้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่ใช่ประกัน และถ้าเราพูดถึงเรื่องตอบแทน ยังไงการลงทุนในทองคำแท่ง หรือ Bitcoin ระยะยาว (เหมือนการซื้อประกัน ที่ต้องจ่ายเบี้ยระยะยาว) ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะเงินเฟ้อทำงานแบบนั้น ซึ่งแบบนี้จะมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ประกันเป็นที่ออมเงินอย่างแน่นอน อีกทั้งสภาพคล่อง ก็สูงกว่าด้วย เพราะตอนนี้มี DeFi ที่เราสามารถเอา Bitcoin ไปค้ำ แล้วกู้ Stable coin ออกมาใช้เงินได้เลย ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง (อย่างที่เนื้อหาในเว็บเล่าไว้บ่อยๆ)
ประกัน ทำหน้าที่ป้องกันความเสี่ยง
อันนี้ คือหัวข้อที่อยากให้ทุกคนเข้าใจมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะนี่คือ สิ่งที่ประกันทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมที่สุด และเราก็ควรจะซื้อประกันแบบนี้ ก็คือ ประกันที่เป็นประกันจริงๆ ทำหน้าที่เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเรื่องที่มีคาดฝัน ก็เท่านั้น ไม่ต้องมีเรื่องคืนเงิน ไม่ต้องมีเรื่องผลตอบแทนคืนอะไรพวกนั้นไม่เอาเลย
การทำประกันแบบนี้ถึงจะเหมาะสมที่สุด ภาษาบ้านๆที่เราเข้าใจกันก็คือ “ประกันแบบจ่ายเบี้ยทิ้ง” คือถ้าเราไม่ได้ใช้ ไม่ได้เคลม เงินที่จ่ายไปก็คือ จ่ายไปทั้งหมด ไม่มีอะไรคืนเลย แต่ว่า ประกันแบบนี้แหล่ะ ที่จะมีทุนประกันในระดับสูงมากๆ คือเรียกว่าถ้าเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น คนข้างหลังจะได้รับเงินเยอะมากๆ ในระดับที่ตั้งตัวกันได้เลยทีเดียว ซึ่งนี่ น่าจะเป็นหน้าที่ของประกันที่เราคาดหวังอยากจะได้มากที่สุด จากการทำประกันแล้ว
แต่ว่าประกันเหล่านี้ คนขายที่เน้นอยากได้ยอด ได้ค่าแนะนำสูงๆ เค้าจะไม่อยากขายกัน เพราะได้ค่าแนะนำน้อยมาก หรือแทบไม่ได้เลย ก็เลยไม่อยากขาย ไม่พูดถึงเลยก็ว่าได้ เราเลยจะคิดว่ามันไม่มีอยู่ แต่จริงๆแล้ว มีอยู่ทุกบริษัทเลย
ความเสี่ยง จากสิ่งที่ไม่คาดฝัน
อย่าคิดว่าคุ้มหรือไม่
นี่เป็นอีกเรื่องนึง ที่ผมเคยผิดพลาดมาก่อน ด้วยการมานั่งคำนวณว่า คุ้มหรือไม่ ระหว่างการทำ และไม่ทำประกัน และถ้าทำ ต้องทำแบบไหนถึงจะคุ้มกว่ากัน บอกเลย ว่าพลาดไปแล้ว อย่าพลาดแบบผมอีก
ย้ำอีกที ว่าประกันที่ควรจะทำ ต้องไม่คืนเงิน ต้องไม่ออมทรัพย์ ดังนั้น ความคุ้มค่าเรื่องของผลตอบแทน ตัดออกไปเลย ทีนี้เราก็มาพิจารณาเรื่องผลตอบแทนที่จะได้รับ หลังจากที่เราตาย หรือ ป่วย (กรณีประกันสุขภาพ) กัน
อย่างของผมเอง จ่ายเบี้ยประมาณ 30,000 บาทต่อปี (จำตัวเลขไม่ค่อยได้ แค่คร่าวๆประมาณนี้แหล่ะ) ถ้าตาย คนข้างหลัง ได้ 5 ล้านบาท ลองมาคิดดูนะครับ ถ้าผมจ่ายด้วยเรทนี้ไป 10 ปี เท่ากับ 3 แสน บาท แต่ถ้าตาย คนข้างหลังได้ 5 ล้าน ยังไงก็คุ้ม ยิ่งถ้าตายปีแรก ยิ่งคุ้มเลย จ่าย 3 หมื่นได้ 5 ล้าน
เอาจริงๆ อย่างที่ผมบอกไว้ที่หัวข้อ อย่าคิดว่าคุ้มหรือไม่ แต่ให้ตั้งต้นที่ว่า “ถ้าเราไม่อยู่แล้ว คนข้างหลัง จะต้องมีเงินเท่าไร ถึงจะเดินหน้าต่อไปได้” แนวคิดนี้ ควรเป็นแนวคิดหลัก ที่ใช้ในการตั้งมาเป็นตุ้กตา อาจจะคำนวณจาก รายจ่ายต่อปีของคนข้างหลัง แล้วคูณจำนวนปีเข้าไป ที่คิดว่า เค้าน่าจะเดินหน้าต่อได้ จากการเสียหลัก(ที่เสียเราไป) ได้แล้ว ลองประเมินกันดูครับ และอีกอย่างก็คือ เบี้ยประกันที่เราจ่ายไหว ปีละเท่าไร ให้เฉลี่ยออกมาเป็นรายเดือน จะพอนึกภาพออกครับ
ชีวิตคุณมีค่าเท่าไร
ลองมองอีกมุมนึงก็ได้ครับ ว่าตอนนี้ ชีวิตเรามีราคาเท่าไร ถ้าเรายอมโดนตัดแขนตัดขา แลกกับเงิน 1 ล้านพอมั้ย? แล้วถ้าแลกกับชีวิตเราเลยล่ะ 5 ล้านพอมั้ย? แน่นอนว่าเราคิดว่าราคาต้องแพงมาก แต่ว่ากลับมาดูความเป็นจริงว่าเราจะต้องจ่ายเบี้ยแพงมากด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้ทุนประกันที่สูง ดังนั้นจุดนี้เราต้องหาจุดที่ลงตัวและเหมาะสม ว่าวันที่เราจะไปจากโลกใบนี้แล้ว คนข้างหลังจะต้องได้รับเงินเท่าไรแลกกับการจากไปของเรา และเค้าจะใช้เงินนั้นไปได้อีกนานเท่าไร
ไม่ต้องสนใจ ว่าเค้าจะเอาเงินนั้นไปทำอะไร ใช้เป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพราะตอนนั้นเราก็ไม่ได้รับรู้อะไรแล้ว คนที่รับรู้ และอยู่ต่อ ก็คือคนข้างหลังเรานั่นแหล่ะ
คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ
เพราะคนที่ทำประกัน มักไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเอง แต่คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลัง หรือ ครอบครัวเป็นเรื่องหลักตามที่เล่าในย่อหน้าบน และเอาตามตรงเลย คนที่ทำประกัน ไม่มีใครอยากใช้หรอกครับ เพราะถ้าได้ใช้ แปลว่ามีเรื่องที่ไม่ดี ทำให้เราเป็นทุกข์เกิดขึ้นแล้วแน่นอน อย่างใดอย่างนึง ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต หรือ ประกันสุขภาพ อย่าใช้เลยดีที่สุด
แต่การที่เราไม่ใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่ควรทำ เพราะเราต้องมองข้ามการใช้ชีวิตที่เห็นแก่ตัวเราคนเดียวของเราไป แล้วมองเลยไปถึงคนที่เราต้องดูแล ว่ามีใคร ยังไงอีกบ้าง และถ้าวันที่เราไม่อยู่แล้ว เค้าจะอยู่กันอย่างไรต่อไป จะต้องทำอะไรยังไงต่อไปอีก จะมีเงินใช้ไปอีกนานแค่ไหน และจะพอมากน้อยเพียงใด
จึงเป็นที่มาของ คนทำไม่ได้ใช้ คนที่ได้ใช้ ไม่ได้เป็นคนทำ แนะนำว่าให้คุยเรื่องนี้กันอย่างเปิดอก และเข้าใจ ว่าเรามีแผนอะไรยังไง เพื่อให้เป็นที่รับรู้ระหว่างกันเอาไว้ด้วย
ประกันมีส่วนปกป้อง เงินออม และ สินทรัพย์ได้
ผมไม่ได้บอกว่า มีประกันแล้วเงินออมจะเพิ่ม แต่ว่า มันทำหน้าที่ “ปกป้อง” สิ่งที่เรามีอยู่ต่างๆหาก ถ้าเราพูดถึงประกันสุขภาพ ถ้าเราไม่ได้ทำประกันสุขภาพเอาไว้ แล้วเราเกิดเจ็บป่วยหนักมากขึ้นมา เราอาจจะต้องทุ่มเงินเก็บทั้งหมดไปกับการรักษานั้น นั่นอาจจะทำให้เงินออม หรือ สินทรัพย์ที่เรามีต้องสูญไปกับการเจ็บป่วยในครั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเรามีประกัน ประกันนี่แหล่ะ จะเข้ามาช่วยดูแลค่าใช้จ่ายตรงนี้ และทำให้เงินออม รวมทั้งสินทรัพย์ของเรายังคงอยู่เหมือนเดิม
นี่แหล่ะคือ “ประกัน” เราต้องมองภาพใหญ่ และหน้าที่ให้ออก
อย่าคิดว่าตัวเองเก่งกว่าบริษัทประกัน
เมื่อก่อน ผมเองก็เป็นแบบนั้น คิดว่าเราเก่งกว่าประกัน เราเก็บเงินได้เยอะกว่าไปซื้อประกัน โดยมักจะมีความคิดแบบตื้นๆว่า ถ้าเราต้องจ่าย 3 หมื่นบาทต่อปี สำหรับประกันสุขภาพ แต่ถ้าเราไม่ป่วยเลย ในช่วงเวลา 10 ปีต่อจากนี้ และจากประสบการณ์ชีวิตเราที่ผ่านมาหลายสิบปี ก็ไม่เคยป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลเลย เราก็น่าจะประหยัดเงินไปได้หลายแสน เกือบๆล้านเลยก็ว่าได้
นั่นเป็นความคิดที่ถูกนะครับ แต่ว่าไม่ถูกต้องทุกมิติทั้งหมด เพราะว่าเวลาเกิดการเจ็บป่วยรุนแรง ที่ต้องใช้เงินรักษาเยอะ มันก็ไม่ได้มีสัญญาณเตือนอะไรมาก่อน หรือว่าก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า ทุกครั้งที่เราจะป่วยต่อจากนี้จะเป็นการเจ็บป่วยเล้กน้อยในระดับที่ดูแลตัวเองได้ทุกครั้งเสมอไป เพราะถ้ามีครั้งเดียวที่ต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคร้ายแรง ครั้งเดียวอาจจะใช้เงินมากกว่า 1 ล้านที่เราพยายามประหยัดมา และยังลามไปถึงเงินออมอื่นๆที่เรามีอีกด้วย ดังนั้น การมีแนวคิดแบบนั้น ก็คล้ายกับว่าเรากำลังประมาทกับชีวิตเราอยู่ด้วยเหมือนกัน
ประกันเค้ามีนักคณิตศาสตร์ประกันภัย คำนวณอะไรต่างๆอย่างดี เมื่อเทียบกับเราตัวคนเดียว ที่นั่งคิดเอง เออเอง แล้วก็วัดดวงเอา ไม่รุ่ง ก็รอดไปเลย มันก็จะออกแนวเป็นนักพนันมากเกินไปหน่อย
หวังว่า น่าจะพอเห็นภาพมากขึ้นนะครับ แต่สำหรับคนที่ยังมองภาพไม่ออก ว่าเราจะจัดสรรปันส่วน หรือวางแผนอย่างไร ลองมองเรื่องการวางแผนระยะยาวดูครับ ในเนื้อหา https://bemyblockchain.com/do-you-have-retirement-plan วันนี้ คุณได้วางแผนชีวิตคุณแล้วหรือยัง? ได้อธิบายเอาไว้แล้วครับ