Rebalance กลยุทธ์ที่อาจจะขายเกินความเป็นจริง

ออกตัวก่อนว่า เนื้อหานี้ไม่ได้ต้องการโจมตี strategy rebalance แต่อย่างใด แต่อยากมาอธิบายเชิงลึกแบบลงรายละเอียดมากขึ้น เพื่อให้เห็นตัวเลข เพื่อทำความเข้าใจในรายละเอียดอย่างแท้จริง และจะได้ไม่เห็นภาพของประโยชน์จากการ rebalance ที่เกินความเป็นจริงเกินไป รวมทั้ง ประโยชน์ที่แท้จริงของ Strategy นี้ด้วย

Rebalance คืออะไร

Rebalance คือการปรับสัดส่วนการลงทุน โดยเน้นที่สัดส่วน เป็นเรื่องหลัก เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามสัดส่วนที่ได้กำหนดเอาไว้ตั้งแต่แรก ตัวอย่าง กำหนดการลงทุนเป็นแบบนี้ กองทุน 30% + หุ้น 30% + เงินสด 40% แบบนี้ ก็จะถือว่าเป็นสัดส่วนการลงทุนแบบมาตรฐานกลางๆ ไม่เสี่ยงมาก ไม่เสี่ยงน้อย และเราก็เอาเงินไปลงทุนตามสัดส่วนที่กำหนดไว้เลย สมมุติ ลง กองทุน 3,000 บาท หุ้น 3,000 บาท เงินสด 4,000 บาท รวม 10,000 บาท (100%) ต่อมา ราคาหุ้นขึ้น รวมกับ ดัชนีกองทุนก็ขึ้น กลายเป็นกองทุนมีมูลค่า 3,200 บาท หุ้น 3,800 บาท เงินสดเท่าเดิม 4,000 บาท รวมจะเป็น 11,000 บาท ถ้าเราคิดเป็นสัดส่วน ตอนนี้จะพบว่า กองทุนเป็น 29.09% หุ้นเป็น 34.55% และเงินสดคิดเป็น 36.37% (รวม 100%) จะเห็นว่า สัดส่วนไม่ได้เป็นแบบเดิมอีกแล้ว เราจึงต้อง ‘rebalance’ เพื่อให้กลับมาเป็นสัดส่วนเท่าเดิม โดยการขาย หุ้นออก 500 บาท เพื่อให้เหลือมูลค่า 3,300 บาท (30%) โดยแบ่ง 100 บาท ไปซื้อกองทุนเพิ่ม เพื่อให้เป็น 3,300 บาท (30%) และอีก 400 บาทเก็บไว้เป็นเงินสด (4,400) รวมจะเป็น 11,000 บาท หรือ กองทุน 30% + หุ้น 30% + เงินสด 40% = 100% เท่าเดิมนั่นเอง

เป้าหมายที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือ เมื่อหุ้นทำผลงานได้ดี เราก็ขายทำกำไรออกมาลงทุนในตัวอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงให้เป็นสัดส่วนตามเป้าหมายที่เรากำหนดเอาไว้ เพราะสินทรัพย์ใดที่ราคาขึ้น ก็อาจจะเสี่ยงสูงที่ราคาจะตกกลับได้ และ กลับกัน สินทรัพย์ใดที่ราคาตกต่ำ เราก็ซื้อเพิ่มเพื่อให้คงไว้ตามสัดส่วนที่เราตั้งใจตามเดิม ซึ่งมีงานวิจัยหลายตัวกล่าวเอาไว้ว่า ในระยะยาว จะสามารถทำผลงานได้ดีกว่าเราซื้อ แล้วก็ถือเอาไว้เพียงอย่างเดียว (หมายถึงแบ่งเงินซื้อครั้งเดียว แล้วเก็บยาวโดยไม่ทำอะไรอีกเลย) เพราะเมื่อราคาสินทรัพย์บางตัวที่ขึ้นสูงมาก เราทำกำไรออกมา ไปเก็บในสินทรัพย์ตัวอื่น และต่อมา สินทรัพย์ตัวนั้นราคาตกลง เราก็เอาเงินที่เก็บเอาไว้ในสินทรัพย์อื่น กลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ที่ราคาตกต่ำ เหมือนได้ซื้อคืนในราคาถูก ทำให้เกิดส่วนต่างที่เก็บกำไรเพิ่มมากขึ้นกว่าการ Buy & Hold แบบปกติในระยะยาวนั่นเอง

การเอามาประยุกต์ใช้ในการเก็บ cash flow

ทีนี้ ก็เลยมีคนเอามาประยุกต์สร้างเป็น bot เพื่อเก็บ cash flow ในการเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้น โดยชูจุดเด่นว่า มีให้ผลกำไรที่ดีกว่าการ buy & hold โดยสมมุติเหตุการณ์ว่า สินค้าชิ้นนึง ถ้าเราซื้อมาเก็บไว้ เมื่อราคาลดลงไปข้างล่าง แล้วกลับขึ้นมาที่เดิม เราจะมีสินทรัพย์จำนวนเท่าเดิม แต่ได้กำไรเพิ่มเติมจาก cash flow ที่เพิ่มขึ้นด้วย ด้วยการโฆษณาจุดขายแบบนี้ ก็ต้องว้าวไปตามๆกันแน่นอน ของดีย์ แถมด้วยหลักการ ก็ง่ายมากด้วย เพียงแค่รักษา มูลค่าสองฝั่งเอาไว้ให้เท่ากันตลอด เช่น ฝั่งละ 50% เท่านั้น (บางครั้งมีการปรับให้ไม่เท่ากับก็ได้ด้วย เช่น 60%, 40% เป็นต้น)

ผมก็เคยเชื่อแบบนั้น และเคยพิสูจน์โดยการทำ simulation มาด้วยตัวเอง ตั้งแต่ปี 2020-2022 นู่นมาแล้ว โดยตั้งให้ 50% เท่ากัน และ ลอง simulation การเคลื่อนไหวของราคา และการ take action ซื้อขายตามข้อกำหนด จากนั้นก็ตรวจสอบมูลค่า port การลงทุนเทียบกับการตั้งต้น ก็พบว่า มันก็เติบโตขึ้นได้จริง
รวมทั้ง ผมก็เคยเอา port ส่วนหนึ่งไปรัน bot rebalance มาแล้ว ก่อนที่ FTX จะล่มสลายไป ก็ไม่ได้เอามารันใหม่อีก (รันใน FTX แล้วก็บินไปพร้อมกันทั้งหมดนั่นเลย)

ความจริงที่ไม่มีใครเล่า

เมื่อไม่นานมานี้ ผมกลับมาไล่ตรวจสอบการ simulate แบบละเอียดอีกครั้งโดยละเอียด และ ถอยมามองภาพรวมมากขึ้นกับกลยุทธ์แบบนี้ ว่ามันดีจริงหรือไม่ อย่างไรกันแน่ สิ่งที่ผมพบ ก็ทำให้ชวน งง แต่ในท้ายที่สุด ก็กระจ่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี่แหล่ะ

การตั้งค่า มีผลทำให้ขาดทุนได้

Rebalance ถ้าตั้งค่าไม่ดี ไม่ได้ทำให้ได้กำไรอย่างที่ต้องการเลย และอาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ โดยสิ่งแรกที่ผมค้นพบจากที่ผมได้ simulate เอาไว้ ก็คือ อัตรากำไร หรือ cash flow ที่สร้างได้นั้น ถือว่าต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับทุน โดยตอนนั้น ผมลอง simulate ที่ราคาค่อยๆลง และก็ทยอยซื้อเรื่อยๆ จนต่ำกว่าราคาเริ่มต้น 10% และ ราคาค่อยๆเพิ่มขึ้น ก็ทยอยขายออกเรื่อยๆ จนราคากลับเท่าจุดเริ่มต้น พบว่า port โตขึ้น 0.05% ซึ่งกำไรส่วนนี้ยังไม่ได้หักค่าธรรมเนียมการซื้อขายอีกต่างหาก (ไม่ใช่อัตราที่ตายตัวนะครับ ขึ้นอยู่กับ setting ด้วย แต่ใน setting ของผม ได้เลขแบบนี้เท่านั้น) ดังนั้น ถ้าเอาไปรันจริง ก็คือ ขาดทุนแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย โดยเฉพาะการตั้งให้ rebalance ที่ความถี่มากเกินไป

ยิ่งตั้งให้ถี่มาก จะลดกำไร และทำให้ขาดทุนได้

ยิ่งตั้งค่าให้ซื้อขายถี่มาก ยิ่งทำให้ขาดทุน หรือ กำไรบางมากจนแทบไม่กำไรเลย
ตังอย่าง ทุน 10k กำหนด diff 3% และ แบ่ง 2 asset ฝั่งละ 50% แปลว่า เมื่อมูลค่าแตกต่าง 300 จะเกิด order ขึ้น แต่ด้วย portion 50% ของฝั่งนึง ดังนั้นต้องวิ่งต่างจากอีกฝั่งถึง 6% (เพราะ 6% ของ 5,000 ก็คือ 300) เท่านั้นไม่พอ order size ที่เกิดขึ้นจะเกิดครึ่งเดียวอีกต่างหาก คือ ขาย 150 เพื่อให้ฝั่งตัวเองกำไร 150 และอีกฝั่งได้รับเพิ่ม 150 จึงจะกลับมา balance เท่าเดิม (จาก 5300:5000 จะกลายเป็น 5150:5150 ก็คือกลับมา balance กันแล้ว)

จะเห็นได้ว่า ราคา วิ่งถึง 6% แต่ order size มีขนาด 1/4 ของ ส่วนต่างที่วิ่งจริง (1/4 ของ 6%) หรือ 1.5% ของ ส่วนต่างที่เกิดขึ้น (และต่อเงินทุน) เท่านั้น ดังนั้น ถ้าเรากำหนด gap 1% เราจะมี order size 0.25% ของทุน (25 ของทุน 10,000) ถือว่าเล็กมากๆ นี่ยังไม่รู้ด้วยนะ ว่าจะกำไรหรือไม่ เท่าไร แต่ถ้ากำไร ก็จะน้อยมากลงไปอีก เพราะ order size ขนาด 25 เราต้องไม่ลืมว่า มีค่าธรรมเนียม 0.1%+0.1% (ซื้อ+ขาย) ของ 25 นั้นอีกด้วย ถ้า config ผิด ก็จะทำให้ขายขาดทุนเอาได้ง่ายๆเลย (เพราะค่าธรรมเนียมกินไปหมด) แต่ยังตอบไม่ได้ว่ากำไรหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับจุดที่ซื้อ ขาย และจำนวนซื้อขายด้วย แต่โอกาสขาดทุนมากกว่ากำไร ค่อนข้างสูง

Rebalance ต้องไม่ตั้งให้ถี่เกินไป

การตั้งให้แต่ละ order มีระยะห่างมากขึ้นเพื่อให้ได้กำไร เราก็จะเจอปัญหาใหม่อีก คือ การสวิงของราคา ไม่สวิงมากพอ จนทำให้เกิดการ ซื้อ ขาย เกิดขึ้นได้บ่อยอย่างที่ต้องการ เพราะโดยทั่วไป ช่วงเวลาส่วนใหญ่ของราคา จะอยู่ในช่วง Sideway แต่แม้กระทั่ง Crypto currency เอง ที่ถือว่า side way สูงมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการ trigger การซื้อขายได้บ่อย หากเราตั้งช่วงกว้างมากเกินไป อย่างที่ผมลองตั้ง 2% บน Bitcoin ในช่วงเวลาที่ side way ก็รอนานเป็นสัปดาห์เหมือนกันกว่าจะมีการ ซื้อ หรือ ขายเกิดขึ้นสักครั้งนึง นี่ถ้าไปตั้งค่าในสินทรัพย์อื่น อาจจะรอกันเหงาเลย

ถ้าสินทรัพย์ราคาขึ้นแรงๆ จะพลาดกำไรจำนวนมาก

ด้วยการที่เราต้องถือสัดส่วนสินทรัพย์ตัวอื่นเอาไว้ และ คงสัดส่วนตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อสินทรัพย์ตัวนึงราคาวิ่งขึ้นแรง ระบบก็จะขายสินทรัพย์ตัวนั้นออกมาเรื่อยๆ ตลอดทางที่ราคาขึ้น ทำให้กำไรที่ควรจะได้เยอะ ก็จะลดลงตลอดทาง เพราะเราถือสินทรัพย์ที่ราคาเพิ่มขึ้น ในจำนวนที่ลดลงเรื่อยๆ เพราะถูกขายออกเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าการเคลื่อนที่แบบมีทิศทางเกิดขึ้นเมื่อไร ผลลัพท์จากการทำ rebalance จะชะลอผลลัพท์เหล่านั้นให้เล็กลงตามไปด้วย อีกมุมที่คิดแบบง่ายๆเลย เราถือ Bitcoin 50% ถือเงินสด 50% ถ้าราคา Bitcoin ขึ้นจากจุดที่ซื้อ 100% เราก็ได้กำไรแค่ 50% เท่านั้น เพราะเราถือ Bitcoin แค่สัดส่วน 50% จึงไม่ได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย และการใช้ rebalance ก็จะทำให้ระบบขาย Bitcoin ออกระหว่างทางเรื่อยๆ ด้วย จนกว่าราคาจะขึ้นถึง 100% ก็ขายออกไปมากมายแน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้น กำไรต่ำกว่า 50% แน่นอนที่สุด ทั้งที่ราคาขึ้นไป 100% แล้วก็ตาม

การปรับสัดส่วนจะช่วยเพิ่ม cash flow / กำไร

ก็จะมีบางคนที่ใช้การปรับสัดส่วนเข้าช่วย เพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มกำไร เช่น เมื่อตลาดจะเป็นขาลงแล้ว ก็จะปรับ Bitcoin ให้ลดลง อาจจะเหลือ 25% แล้วถือเงินสด 75% เมื่อราคา Bitcoin ลดราคาลง ก็จะกระทบกับมูลค่า port เราน้อยมาก เพราะเราถือแค่ 25% ของ port เท่านั้น และเมื่อราคาจะกลับเป็นขาขึ้นแล้ว เราก็ปรับ Bitcoin ให้เป็น 75% เงินสด 25% เราก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นเยอะมากเพราะเราถือ Bitcoin มาเป็นจำนวนมากนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ดี ถ้าทำแบบนี้ได้ จะมีคำถามตามมาว่า แล้วทำไมไม่ Trade ซื้อ ขาย ไป 100% เลย ขาลง ก็ขายออกหมดเลยสิ ขาขึ้นก็ถือ Bitcoin 100% เลยสิ ไหนๆ เราก็เสียเวลาวิเคราะห์อะไรต่างๆแล้ว แบบนี้ ก็จะทำให้ได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า และก็นั่นแหล่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าจุดไหนขึ้นหรือลง เราเลยเลือก Strategy ต่างๆ เข้ามาทำงานแทนเรายังไงล่ะ การปรับสัดส่วนเพื่อให้ได้ผลลัพท์จึงเป็นไปได้ยาก เพราะมีความขัดแย้งกันเองทางความคิด

มอง Rebalance ให้ขาด เห็นถึงข้อดีที่แท้จริง

ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียอย่างที่ได้เล่าไป เพราะ Rebalance จะเป็นระบบที่รันได้ตลอดไป ไม่ว่าราคาสินทรัพย์จะขยับไปที่ไหนก็ตาม ทั้งถูก (ลู่เข้า 0) และ แพง (ราคาขึ้นแบบไม่มีเพดาน) เพราะด้วยหลักการคิดที่เรียบง่ายเท่านั้น ทำให้สามารถทำงานได้ตลอด แต่ว่า ถ้าราคาลู่เข้า 0 เงินลงทุนเราก็ลู่เข้า 0 ด้วยเหมือนกันนะ อย่างไม่ต้องสงสัย (ก็ไม่ได้บอกว่ารันได้ตลอดไป แต่เงินทุนจะไม่ลด) และ อีกข้อดีที่สำคัญ ก็คือ ในระยะยาวมากจริงๆ การ rebalance เป็นการช่วยลดความเสี่ยงลงได้ เพราะจากตัวอย่างที่เราแบ่งสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ความเสี่ยงภาพรวมของการลงทุนเราเป็นอย่างที่ต้องการ เช่น กองทุน 30% + หุ้น 30% + เงินสด 40% แบบนี้ แล้วเกิดหุ้น ราคาพุ่งขึ้นไปเยอะมากจนสัดส่วนกลายเป็น 70% ของ port รวมเลย แล้วเราไม่ขายออกบ้างเลย เมื่อราคาหุ้นตกลงรุนแรง (อย่างช่วงที่กำลังเขียนบทความนี้ตลาดหุ้นทั่วโลก ก็ตกต่ำจากผลของการขึ้นกำแพงภาษีจาก US) ทำให้กำไรที่น่าจะได้ ก็จะลดลงไปเฉยๆด้วย เพราะกำไรเหล่านั้นยังเป็น unrealize profit เมื่อราคาอ้างอิงตก มูลค่าก็จะลดตามไปด้วยทันที และด้วยเป็นสัดส่วนใหญ่ของ port การลงทุน จะทำให้ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากอีกด้วย ดังนั้น คนที่ได้ทำ rebalance มาเรื่อยๆ ก็จะได้เก็บกำไรมาแล้วบางส่วนด้วยเหมือนกัน และตอนราคาตก ก็ได้สะสมกลับเข้าไปอีกรอบ ทำให้ port โดยรวมมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยมีหุ้นในมือใกล้เคียงของเดิม ประมาณนี้ครับ

ทั้งหมดนี้ก็หวังว่าจะทำให้เห็นภาพ และเข้าใจเรื่อง Rebalance กันมากขึ้นนะครับ ถ้าถามผม ส่วนตัวมองว่า ใช้ Rebalance เพื่อการตีกรอบกลยุทธ์ภาพใหญ่ในระยะยาวจะเหมาะกว่า ถ้าอยากสร้าง cash flow ไปใช้ Strategy อื่นดีกว่า เช่นพวก grid เป็นต้นครับ