เนื้อหานี้จะมาเล่าลงรายละเอียดของ Decentralized Financial โดยเฉพาะเลย เพราะตั้งแต่เปิดเว็บมาก็ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนควรจะเข้าใจ เพราะเมื่อเราทำความเข้าใจของการทำงานแล้ว เราจะเห็นภาพมากขึ้นว่าเรากำลังลงทุนอยู่กับอะไร เราได้อะไรมาเป็นผลตอบแทน และผลตอบแทนนั้นมาจากไหน ใครเป็นคนจ่าย จะพยายามอธิบายให้ครบถ้วนเลยทีเดียว
Decentralized Financial
ตัวย่อก็คือ DeFi อ่านว่า เด-ไฟ หรือ ดี-ไฟ ก็ไม่ผิด คำนี้เป็นคำเรียกรวมๆของระบบที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ซึ่งทำงานอยู่บน Blockchain Technology โดยไม่ได้จำกัดความเฉพาะเจาะจงไปที่รูปแบบการเงินแบบใดแบบหนึ่ง ที่ทำงานกับ Cryptocurrency เท่านั้น โดยเราจะเรียกทุกอย่างรวมกันว่าเป็น DeFi
องค์ประกอบที่สำคัญที่เราจะสามารถเรียกว่าเป็น DeFi ได้ก็คือ
- ทำงานด้วยรูปแบบ Programmable คือทำงานแบบอัตโนมัติ ตามที่ได้กำหนดไว้ใน Program
- ระบบการทำงานส่วนต่างๆบรรจุอยู่ใน Smart contract ทั้งหมด ยกเว้นส่วนที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้งาน เช่น หน้าเว็บหรือแอพพลิเคชั่น ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ใน Smart contract (เรียกว่า User interface ซึ่งจะไปติดต่อกับ Smart contract เพื่อเอาข้อมูลมาแสดงผลอีกทีนึง)
- Smart contract คือส่วนที่ทำงานเป็น Programmable จะบรรจุอยู่ใน Blockchain เพื่อให้โปร่งใส และไม่สามารถแก้ไขการทำงานในภายหลังได้
- เปิดเผย source Code หรือสามารถอ่าน source Code ได้จาก Smart Contact ที่เปิดเผย (ไม่บังคับเปิดเผย แต่ส่วนใหญ่จะเปิดเผย)
- ระบบการทำงาน สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อใจ หรือ การควบคุมของคน (แต่คนก็สามารถเป็นเจ้าของ smart contract และ ปรับเปลี่ยนบางส่วนได้เช่นกัน)
- ผู้ใช้งานจะเป็นผู้ถือสิทธิ์ขาดเพียงคนเดียว ในการยินยอมทำธุรกรรมเท่านั้น เว้นแต่ว่าได้มอบสิทธิ์นั้นให้กับ Smart contract ไป (โดยที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน จำเป็นจะต้องมอบสิทธ์ให้ smart contract ด้วย)
ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นความแตกต่างอย่างยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับ Centralized Financial อย่างเช่นธนาคาร หรือสถาบันการเงิน ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน เพราะเราไม่เคยเข้าไปอ่าน source Code การทำงานใดๆของระบบธนาคารได้เลย หนำซ้ำตรงกันข้าม Source Code การทำงานของธนาคารในปัจจุบันต้องถูกเก็บเป็นความลับขั้นสูงสุดอีกต่างหาก เราไม่มีทางรู้เลยว่าการทำงานของธนาคารนั้นมีการคำนวณอย่างไร แต่ถ้าธนาคารคำนวณดอกเบี้ยมาแล้วบอกว่าถูกต้อง เราก็จะเชื่อว่ามันถูกต้อง ตามหน้าประชาสัมพันธ์นั้นๆ เราไม่สามารถตรวจสอบได้ได้เลย อีกทั้งกระบวนการบันทึกบัญชี ก็ไม่ได้ทำอยู่บน Blockchain Technology ซึ่งนั่นหมายความว่า ธนาคารมีสิทธ์ จะลบหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ซึ่งหมายรวมถึงรายการบางรายการที่อาจจะตกหล่นหายไปจากสารระบบอันเกิดจากความผิดพลาดได้อีกด้วย นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง DeFi กับ Traditional finance แบบปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นจาก DeFi
อำนาจที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง (quote จาก spider man movie เหมาะที่สุดละ) เพราะ
- เราคือคนที่ถือสิทธิ์ขาดในการยอมหรือไม่ยอมทำธุรกรรมใด เพราะเราคือคนที่ถือกุญแจในการเข้ารหัสเพื่อยืนยันในธุรกรรมเพียงผู้เดียว (นี่คือ Concept ปกติของ Crypto wallet ลองอ่านเพิ่มเติม Wallet และ Seed word เรื่องที่ต้องรู้)
- หากเกิดเหตุความผิดพลาดใดๆ จนทำให้สูญเสีย crypto currency ไป ไม่มีหน่วยงานหรือเจ้าขององค์กรใดที่จะมารับผิดชอบได้ เพราะทุกอย่างไร้พรมแดนและโดยเกือบทุกผู้ให้บริการ ไม่เปิดเผยตัวตน (เพราะไม่ได้จำเป็น เนื่องจาก การทำงานอยู่ในโค้ดทั้งหมดแล้ว)
- เมื่อยินยอมในการทำธุรกรรมใดๆไปแล้วจะไม่มีวันหวนคืนหรือย้อนกลับได้อีก
ดังนั้นแล้วผู้ใช้งานระบบ DeFi จึงควรมีสติ คิดให้รอบคอบตลอดเวลา เพราะทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น จะบันทึกอยู่อย่างนั้นตลอดไป และนี่ก็เป็นสาเหตุหลักว่าทำไมระบบ Blockchain ถ้าใครโดนขโมยทรัพย์สินออกไปแล้ว จะไม่สามารถเอาคืนมาได้อีก เพราะคุณสมบัติของ Blockchain Technology เมื่อบันทึกอะไรลงไปแล้วก็จะเป็นแบบนั้นตลอดไป
Governance Token
เนื้อหาที่ซ่อนอยู่อธิบาย Governance Token คืออะไร มาจากไหน และทำหน้าที่อะไร
เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น
เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง ReachDeFi มีอะไรให้เราใช้งานแล้วบ้าง
เนื้อหาที่ซ่อนอยู่ อธิบายว่ามี platform อะไรแล้วบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับโลกความเป็นจริง พร้อมยกตัวอย่าง
เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น
เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reachแต่ละที่ ก็มี feature function ที่แตกต่างกันไป ซึ่งหลายที่ก็มี feature ที่ทับซ้อนกับอีกที่หนึ่งด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงเกิดเป็นความหลากหลาย ที่ทำให้เราสามารถหากำไรได้อย่างต่อเนื่อง
Yield farming
เป็นคำเรียก เพื่อเปรียบเทียบเหมือนว่าเราเข้าไปทำฟาร์มสักแห่งหนึ่ง คือลงทุน ลงแรก เพื่อให้ผลิดดอก ออกผล และเก็บผลไปขายเหมือนเป็นชาวนา
ผมยกตัวอย่าง เรามีเงิน 150 บาท แล้วเราเอาไปเข้าโรงรับจำนำ ที่ทำหน้าที่เป็นธนาคารไปในตัว (เช่น Venus) เมื่อเราเอาทรัพย์สินไปเข้าโรงรับจำนำเพียงแค่เพื่อฝากเอาไว้และรับดอกเบี้ยเท่านั้น (เปรียบเสมือนฝากธนาคารกินดอกอย่างเดียว) โรงรับจำนำก็บอกว่าโอเคเราจะให้ดอกเบี้ยคุณ 5% ต่อปี เพียงเท่านี้เราก็ได้กำไรจากเงินที่เรามีแล้ว ในอีกด้านหนึ่งก็มีคนเข้ามากู้เงินออกจากโรงรับจำนำไปเช่นกัน โดย Venus จะเก็บดอก 8% ต่อปีสำหรับคนกู้ ซึ่งการกู้เงินใน DeFi ปัจจุบันนั้นมีแต่แบบที่จะต้องวางหลักประกันเท่านั้น (เพื่อป้องกันคนพร้อมจะโกงตลอดเวลา และตามตัวไม่ได้ด้วย) คนที่จะมากู้จึงจะต้องมีทรัพย์สินเอามาวางค้ำก่อนเช่นมีทรัพย์สินมูลค่า 200 บาทก็เอามาวางค้ำเอาไว้ จากนั้นก็กู้เป็นเงินออกไปได้สูงสุดจำนวน 60-80% หรือ 120 บาท โดยจะต้องจ่ายดอกเบี้ย 8% จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่าโรงรับจำนำแห่งนี้ได้กำไร 3% และเราในฐานะเอาเงินไปฝากฝากเพื่อกินดอกอย่างเดียวโดยไม่กู้ก็จะได้กำไร 5% โดยโรงรับจำนำก็ใช้เงินของเรานั่นแหละปล่อยออกไปให้กับคนที่กู้หากเกิดเหตุความผิดพลาดเกิดขึ้นโรงรับจำนำจะยึดทรัพย์สินผู้กู้แล้วขายทอดตลาดนำเงินมาคืนเราอีกทีหนึ่ง (เพราะคนกู้ต้องวางมูลค่าทรัพย์เกินกว่าที่กู้)
สิ่งที่ไม่เหมือนกับโรงรับจำนำหรือธนาคารในปัจจุบันก็คือ โรงรับจำนำ หรือ ธนาคารใน DeFi เป็นเพียงแค่โค้ดที่เขียนเอาไว้เท่านั้น หรือที่เราเรียกว่า Smart contract ซึ่งเก็บอยู่ใน Blockchain network อีกทีหนึ่ง ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดจึงไม่จำเป็นต้องใช้คนในจุดใดเลย ทุกอย่างเป็นระบบอัตโนมัติ (ถ้าไม่นับคนสร้าง และ คนดูแลปรับปรุงระบบนะ) หรือที่เขามักจะเรียก DAO (Decentralized Autonomous Organization) เมื่อต้นทุนเรื่องคนไม่มีแล้ว ส่วนต่างที่เกิดขึ้นก็จะเป็นส่วนต่างที่ถูกกระจายตัวไปยังผู้ใช้ platform ได้อย่างแท้จริง อีกทั้งข้อมูล Transaction ที่เกิดขึ้นก็ถูกบันทึกอยู่ใน Blockchain Technology ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้ามาแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่ในชีวิตจริง DeFi ปัจจุบันกลับพบว่าเราไม่ได้ผลกำไรกันแค่ 1 หรือ 2 % แต่เรากำลังคุยกันในหลักสิบหรือไปจนถึงหลักร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อปี เลยทีเดียว (เมื่อปี 2021 มีผลตอบแทนหลัก 100%++ เยอะมาก แต่ปัจจุบัน หาได้ยากแล้ว)
ผลตอบแทนที่มากแบบที่โลกปัจจุบันไม่เคยเห็น
ผม capture platform หนึ่งมาให้ดู ณ ปี 2021 จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนที่จ่ายให้ APR 327-797% เลยทีเดียว ซึ่งผลตอบแทนนี้ เราสามารถเก็บได้ทันทีหลังจากที่เราฝากเอาไว้ 3 วินาทีเท่านั้น เพราะระบบจะคำนวณ reward ให้ในทุกๆ block ของ blockchain network (ซึ่ง BSC network คือ 3 วินาทีต่อ 1 block) รวมทั้งเราถอนเงินต้นออกมาพร้อมกันเลยก็ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเราแล้ว แต่อย่างไรก็ดีผลตอบแทนที่เห็นนี้ก็ไม่ได้คงที่ตลอดไป เพราะว่าแปรผันตามราคาตลาดของ Governance token และอัตราการแจกผลตอบแทนในช่วงเวลานั้นๆอีกทีหนึ่ง
เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น
เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reachเล่าเรื่องโลก DeFi ในแบบ plot หนังสักเรื่อง
เรื่องนี้ผมต้องให้เครดิตรุ่นน้องคนนึงที่มานั่งคุยกับผม รุ่นน้องคนนี้ได้เริ่มต้น DeFi มาในเวลาไล่ๆกันเลย เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า……
เราทุกคนล้วนเกิดขึ้นมาพร้อมกับกำแพงที่ตีกรอบล้อมรอบเมืองที่เราอยู่อาศัยเอาไว้มาตลอด ไม่เคยมีใครได้เห็นว่านอกกำแพงนั้นมีอะไรอยู่บ้าง และเราในฐานะคนธรรมดาก็ไม่มีโอกาสที่จะออกไปนอกกำแพงนั้นด้วย เพราะว่ากำแพงนั้นทั้งสูงใหญ่และแน่นหนาเป็นอย่างมาก กำแพงนี้ก็เปรียบเสมือนโลกการเงินในยุคปัจจุบัน ที่เราเกิดและอยู่อาศัยมันมาทั้งชีวิต โดยมีรัฐบาลประเทศต่างๆได้ตีกรอบล้อมเราเอาไว้ และสอนเราอย่างที่เราจำเป็นต้องรู้ เท่านั้นพอ
จากนั้นวันหนึ่งกำแพงก็เกิดรูเล็กๆเกิดขึ้น ซึ่งรูนั้นก็ใหญ่มากพอที่จะให้คนรอดออกไปได้ แต่เนื่องจากมันเป็นรูเล็กๆ ผู้ที่มีอำนาจหรือเกี่ยวข้องก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับมันมาก เพราะคิดว่าเป็นแค่รูเล็กๆก็ไม่ได้มีปัญหาหรือความสำคัญอะไร รูเล็กๆที่เกิดขึ้นนี้เปรียบเสมือน Bitcoin ที่เกิดขึ้นมาเมื่อปี 2009 ที่เขาตั้งใจจะสร้างระบบการเงินแบบใหม่ ที่ไม่ต้องไปพึ่งพาหน่วยงานกลางใดๆอีก เพราะตัวเทคโนโลยีมันสามารถทำงานเบ็ดเสร็จได้ด้วยตัวเองทั้งหมดรวมทั้งมีระบบควบคุมความปลอดภัย ในตัวเองอีกด้วย อีกทั้งยังเปรียบได้กับ Cryptocurrency ต่างๆ ที่เกิดตามกันมาจากความสำเร็จอันไร้คู่แข่งที่เท่าเทียมของ Bitcoin
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาก็เริ่มมีคนรอดรูออกไปข้างนอกกำแพงไปเรื่อยๆ แต่ก็แน่นอนมีทั้งคนที่กล้าและมีทั้งคนที่ไม่กล้า คนที่ไม่กล้าก็ด้วยความกลัวว่าออกไปแล้วจะต้องไปเจอกับอะไรที่เราไม่เคยเจอมาก่อนทั้งชีวิต ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากก็ได้ หรือกลัวว่าถ้าออกไปแล้วกลับมาโดนจับได้อาจจะถูกทำโทษ เพราะเราถูกตีกรอบว่าห้ามออกไปนอกกำแพงมาตั้งแต่เกิด เปรียบเสมือนคนที่ยังติดอยู่ในโลกการเงินยุคปัจจุบัน และปฏิเสธโลกการเงินแบบใหม่ ว่ามันไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งไม่ผิด เพราะทุกคนมีสิทธ์ที่จะคิดแบบนั้น
สำหรับคนที่ออกไปนั้น บ้างก็โดนสัตว์ประหลาดกิน บ้างก็โดนภัยธรรมชาติ บ้างก็หลงทาง แน่นอนว่ามีคนที่ล้มเหลวก็ต้องมีคนที่ประสบความสำเร็จ ก็คือบางคนที่ออกไปแล้วตัดสินใจจะไม่กลับมาอีก แต่ไปตั้งรกราก สร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมา โดยมีความเชื่อว่านี่แหละคืออิสระที่แท้จริง เพราะมันคือพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่เคยถูกครอบงำโดยใครเลย มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมากให้ทำการขุดขึ้นมาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือเพื่อให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีวิต หนำซ้ำ มันยังมีเยอะเกินจนกระทั่งสามารถนำกลับไปขายในเมืองที่มีกำแพงล้อมกรอบนั้นอีกต่างหาก เปรียบเสมือนในช่วงแรกๆของการเติบโตของ Bitcoin ที่ยังไม่มีเครื่องไม่เครื่องมืออะไรมากคนก็ไม่ค่อยนิยมเท่าไร แต่ก็มีคนพยายามนำมันมาใช้งานจริงๆในชีวิตจริงๆอยู่บ้าง โดยเร่ขายเป็น “สินค้า”
เมื่อเวลาก็ผ่านไปหลายอาณาจักรนอกกำแพงก็เริ่มใหญ่โตขึ้น บางอาณาจักรก็ล่มสลาย คนที่รอดก็มีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่ก็ยังมีคนโดนโจรปล้นบ้าง โดนภัยธรรมชาติบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ใครที่เริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มจะตั้งรกราก และพร้อมรับมือกับสิ่งเหล่านี้มากขึ้น ซึ่งกลุ่มคนนี้คือกลุ่มคนที่เห็นโอกาส และ พร้อมที่จำรับความบาดเจ็บหรือบาดแผลได้ และแน่นอน ผลตอบแทนก็ต้องคุ้มค่าความเสี่ยงด้วย (ไม่อย่างนั้นแรงจุงใจจะไม่เกิด)
บางคนก็เลือกที่จะไปใช้ชีวิตอยู่กับอาณาจักรที่สร้างใหม่ขึ้นมา แล้วสร้างเงินสร้างตัวเองให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมารวมทั้งสามารถนำรายได้ที่เกิดขึ้นนั้นกลับไปที่เมืองใหญ่ที่ตัวเองจากมา เพื่อให้ครอบครัวหรือคนอื่นพอกินพอใช้ได้อีกด้วย คนที่ออกมาเหล่านี้เปรียบเสมือนคนที่ออกมาทำฟาร์มในโลกของ DeFi ส่วนเจ้าของอาณาจักรก็ยกตัวอย่างง่ายๆว่า Venus , Pancakeswap เป็นต้น เขาให้พื้นที่ทำกินกับเรา เราก็เข้าไปทำอาศัยทำกินบนพื้นที่ของเขาเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวได้
แต่แน่นอนบางครั้งเราก็ย้ายไปอาณาจักรอื่นที่เขามีการโฆษณาว่าให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่สุดท้ายก็ rug pull , exit scam หรืออื่นๆ ทำให้เราต้องสูญเสียทรัพยากรบางส่วนของเราไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความโลภ โดยสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนอกรั้ว เกิดขึ้นนอกกรอบที่มีคนคอยดูแลมาทั้งชีวิต นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถไปฟ้องร้องหรือแจ้งความเพื่อเอาผิดใครได้เลย เพราะว่านอกรั้วหรือนอกกำแพงนั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่มีเจ้าของหรือกฎที่คุ้มครองอย่างแท้จริง
ดังนั้น ความรับผิดชอบทั้งหมด ก็ตกอยู่ที่เราเพียงคนเดียวแล้ว เราจะต้องแข็งแรงมากกว่าที่เราเคยเป็นมา เพราะเราคือผู้ที่ถืออำนาจในการทำ หรือ ไม่ทำอะไรลงไปทั้งหมด และในทุกการกระทำที่ได้ทำลงไป ไม่สามารถย้อนคืนหรือหวนกลับได้อีก เราจึงต้องมีความรู้ ความเข้าใจให้มากที่สุด เพื่อให้เอาตัวรอดในโลกความเป็นจริงอันนี้ได้ จนกว่าจะถึงวันเวลาที่ทั้งโลกจะทำให้อะไรๆมันเริ่มง่ายขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผ่านไป
และทั้งหมดนั้น ก็คือ DeFi ครับ