ช่วงนี้ เราจะเห็นเนื้อหาของคนที่มีประสบการณ์ในตลาด ออกมาบอกให้เราถือเงินสด หรือว่าอย่าพึ่งขยับอะไรเยอะ เพราะว่าเศรษฐกิจต่างๆ ค่อนข้างจะไม่ดี บ้างก็ว่า ปีนี้เผาจริงแน่ๆละ หรือว่า ปีที่แล้ว เผาจริง ปีนี้ฝังกลบบ้างล่ะ
เนื้อหานี้ ผมจะมาแสดงอีกมุมนึง เพื่อให้ทุกคน ตาสว่าง!
ปีนี้เผาจริง!
รู้มั้ยครับ ว่าคำนี้มีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 (2010) ที่เกิดการเผาสถานที่สำคัญหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น ห้าง Central World, สยามสแควร์, BigC ราชดำริ , กสท (ตึกที่ตั้ง Data Center หลักของไทย) ฯลฯ
แต่ว่าคำนี้ ยังไม่ได้ถูกเอามาใช้ จนในปีต่อมา 2554 (2011) ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม กทม และ พื้นที่สำคัญของประเทศไทยในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ และการเมืองก็ยังไม่นิ่ง อีกทั้ง ประชาชนก็ชะลอการใช้จ่ายลงอย่างมาก เพราะความไม่แน่นอนในชีวิตอย่างที่ว่าไป จนภาพเศรษฐกิจก็เรียกว่ายับเยินเลยล่ะ นักวิเคราะห์ก็เริ่มมองกันละ แบบนี้ แย่แน่ๆ
ดังนั้น คำว่า “เผาจริง” เลยถูกนำมาใช้ ราวๆประมาณ 2554-2555 (2011-2012) เหมือนคำเปรียบเปรยว่า ทุกอย่างจะแย่จนเหมือนโดนเผาบ้านเผาเมืองกันจนวอดวายไปหมดแน่นอน เพราะตอนนั้น เผากันเล็กๆ แต่เศรษฐกิจที่แย่ตอนนี้ล่ะ เผาจริงๆแน่นอน และก็มีการใช้ต่อกันมาเรื่อย จนปัจจุบัน ดังนั้น คนที่พูดคำนี้ ก็คือ เผาบ้านเมืองมาแล้ว 10 กว่าปีเข้าไปแล้ว!! ก็ยังคงพูดอยู่ แล้วก็น่าจะพูดอยู่ต่อไป เผากันได้ทุกปีเลยจริงๆ
ถ้าเผาจริง เราน่าจะวอดวายกันไปตั้งแต่ 2 ปีหลังจากที่เผาได้แล้วมั้ง?
ลองดูเอาแล้วกันครับ อันนี้ผมขอย้อนไปถึง 2563 หรือ 5 ปีที่แล้วพอ ก็ยังเผากันเองต่อมาจนปัจจุบัน 2568 แล้วก็น่าจะเผากันไปอีกเป็นสิบๆปีเลยล่ะ

กลัวมั้ยครับ เผาจริงไปเรื่อยๆทุกๆปีนี่แหล่ะ
เก็บเงินสดเอาไว้ ดี!
การที่เราเก็บเงินสดเอาไว้ มีเรื่องนึงที่เราต้องทำความเข้าใจด้วย นั่นก็คือ purchasing power หรือ มูลค่าของเงิน มันจะลดลงตลอดเวลา พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ วันนี้เรามีเงิน 10,000 บาท เราซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 200 ชาม แต่อีก 3 ปีต่อนี้ เงิน 10,000 บาทที่เราเก็บเอาไว้ จะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 167 ชามเท่านั้นเพราะราคาขึ้นจาก 50 เป็น 60 บาทแล้ว
เงิน 10,000 บาทที่เราตั้งใจเก็บอย่างดี ก็มี 10,000 บาทเท่าเดิม แต่ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้น้อยกว่าเดิม นี่คือความจริงของ “มูลค่าของเงิน ลดลง” และอดีต เป็นมาแบบนั้น อนาคต ก็จะเป็นแบบเดิมต่อไปครับ เราหนีความจริงนี้ไม่พ้น
ลองย้อนไปอ่านกระทู้ที่พูดถึงราคาก๋วยเตี๋ยวในวัยเด็กกันได้ https://pantip.com/topic/42952126 ดังนั้น แพงขึ้นตลอดมา และ ตลอดไป เป็นปกติของระบบการเงินในปัจจุบันอยู่แล้ว

อย่าขยับตัว มันเสี่ยง
แน่นอน กูรูมักจะต้องบอกว่า ในช่วงที่ทุกอย่างดูเลวร้ายไปหมด เราไม่ควรขยับตัวลงทุนใดๆนอกจากเก็บเงินสดเอาไว้ดีที่สุด แต่ผมจะพาไปดูความจริงเรื่องนึง ที่ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เพราะผมก็เคยเชื่อเหมือนที่ทุกคนพูดว่า เมื่อช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไม่ดี เราต้องถือเงินสดเอาไว้ให้เต็ม port แม้ว่ามูลค่ามันจะลดลงอย่างที่เล่าไปในย่อหน้าบนก็ตาม เรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ถือเงินสดปลอดภัยที่สุด หารู้ไม่ว่า การทำแบบนั้น มีเบื้องหลังที่เจ็บปวดซ่อนอยู่
ผมจะพาย้อนไปในเหตุการณ์ Covid-19 ที่เป็นวิกฤติร้ายแรงต่อทั้งคน และ เศรษฐกิจ ทั้งไทย และ ทุกประเทศทั่วโลกซึ่งช่วงที่เริ่มรุนแรงก็คือประมาณต้นปี 2020 ที่เริ่มมีการประกาศห้ามออกจากบ้าน ห้ามรวมตัว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอหรือหยุดตามไปด้วยพร้อมๆกันเลย จนกระทั่งผ่านไปประมาณ ปลายๆ 2022 เราถึงได้กลับมาใช้ชีวิตกันตามเดิม โดยยกเลิกข้อกำหนดอะไรทุกอย่างออกไปจนหมดแล้ว เรียกได้ว่าเปิดเต็มๆ
ผมจะพาไปดูช่วง 2020-2022 ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตลาดหุ้นไทยขึ้น
ขึ้นเบาๆ 70% กว่าๆ จากจุดที่หล่นตุ้บลงไปจากการ panic sell

หุ้น US ขึ้น
ขึ้นพอประมาณ 138% จากจุดที่ panic sell และนั่นคือขึ้นไปทำ New high เลยด้วยนะ งง มั้ยล่ะ

ราคาทองขึ้น
ขึ้นแบบน่ารักๆ 40% กว่าๆจากจุด panic sell ก็พุ่งขึ้นไปทำ new high เลย ยอดที่สองนั้นคือ จุดที่ทดสอบ new high อีกครั้งหนึ่ง แปลกดีมั้ย

Bitcoin ออกอวกาศ
เบาๆ 1,578%!! และใช่แล้ว new high แน่นอน

ราคาอาหาร ก็แพงขึ้นด้วยนะ
LINE MAN Wongnai เปิดดัชนีราคาอาหารจานเดียวทั่วไทยพุ่งเฉลี่ย 6.7% เทียบเงินเฟ้อปี 65
เปิด ‘ราคาอาหาร’ไทย 10 ปี เพิ่มขึ้น 86.3% ในรอบ 1 ปีล่าสุด (มิถุนายน 2564 – พฤษภาคม 2565) ราคาอาหารเพิ่มขึ้นสูงมากถึง 7.9% แตกต่างจากช่วงปี 2563-2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นไม่มากนักคือเพิ่ม 4.0%
ซึ่งราคาอาหาร ก็จะเป็น new high ไปเรื่อยๆอยู่แล้ว เพราะมีแต่จะแพงขึ้นตลอด ไม่เคยมีราคาลงเลย ไม่ว่าช่วงเวลาไหนก็ตาม
ความเป็นจริงก็คือ ทุกอย่างแพงขึ้นทั้งหมดอย่างรุนแรง ในช่วง 2020-2022 ที่เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ควรถือเงินสดกัน และใครๆก็บอกให้ถือเงินสด แต่ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ถือเงินสด ราคาสินค้า หุ้น ทองคำ กลับมีแรงผลักดันจนไปทำ new high กันได้เรื่อยๆ แปลกดีมั้ย?
เอะใจกันบ้างหรือยัง?
อ่านมาถึงตรงนี้ เอะใจอะไรบ้างหรือยังครับ ว่ามันมีอะไรที่มันดูแปลกๆขัดๆกันอยู่ เช่น
ถ้าคนส่วนใหญ่เลือกถือเงินสดกัน ทำไมราคาหุ้น ทองคำ ถึงกลับทำ new high ได้ล่ะ, ถ้าทุกคนลดการใช้เงิน และ เลือกที่จะเก็บเงินกันมากๆ เงินจากไหนมาผลักดันราคาสินค้าเหล่านั้น, คนที่เลือกจะไม่ถือเงินสดล่ะ จะเป็นอย่างไร? เรากำลังทำอะไรผิดหรือเปล่า? ทั้งที่เราทำตามคำแนะนำนี่นา ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ
และรู้มั้ยครับว่า สิ่งที่แย่ที่สุด สำหรับเรื่องนี้คืออะไร
เราจนลงเยอะมาก!
ความจนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรามีเงินน้อยลงเลย เรามีเท่าเดิม แต่เงินที่มีเท่าเดิมนั่น มูลค่ามันลดลงเยอะมาก ในช่วงเวลาที่เรากอดเงินสดตามที่เค้าบอกให้เรากอดเอาไว้ให้แน่นๆ!!
เมื่อก่อน ผมก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ จนมาเบิกเนตรเห็นความจริงนี่แหล่ะ ตาสว่าง! สร่างเลยทีเดียว
ถ้ายกตัวอย่างพื้นฐานสุดๆเลย ก็คือ ข้าวของที่ราคาแพงขึ้น เท่ากับราคาทองที่แพงขึ้น (ผมเคยถามแม่ผมว่า ตอนแม่แต่งงาน น่าจะ 2523 ตอนนั้น 1 บาททอง ประมาณ 4,000 บาท ปัจจุบัน ก็เฉียดๆ 40,000 บาทละ หรือประมาณ 10เท่าตัว ตอนนั้น ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละ 5 บาท ตอนนี้ 50 บาท หรือประมาณ 10 เท่า ก็ถือว่าพอจะแทนกันได้ให้เห็นภาพ )
ดังนั้นเราย้อนไปดูราคาทองกันอีกที จากกราฟราคาทองช่วง 2020-2022

เราจะเห็นได้ว่า ช่วงที่ panic sell กัน ใครที่เก็บเงินสด น่าจะอุ่นใจมากๆเลย แต่ว่าหลังจากนั้นราคาก็พุ่งขึ้นไปจนทำ new high ได้เลยซึ่งนั่นคือขึ้นไปแบบ 40% เลยทีเดียว
ถ้าเราอ้างอิงว่า ราคาทอง ก็คือ ราคาสินค้า ที่จะเพิ่มราคาไปด้วยเหมือนกัน (เพราะทองก็มองเป็นสินค้าได้เหมือนกัน) แปลว่า คนที่ถือเงินสดเปรียบได้ว่ามูลค่าเงินสดจะลดลงไป 28.57% หมายความว่า เงิน 50 บาท ที่เคยซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 1 ชาม จะเหลือ 0.71 ชามเท่านั้น ในช่วงเวลาผ่านไปเพียง 2 ปี
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคุณเก็บเงินสด และทำตามกูรูทั้งหลายที่บอกว่าเก็บเงินสดไว้ นิ่งไว้…..
วิกฤติ Hamburger ก็ไม่ต่าง
พาย้อนกลับไปก่อนนั้นก็คือ วิกฤติ hamburger หรือ ชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ Subprime mortgage crisis ที่เขย่าโลกมาแล้วด้วยเหมือนกันในช่วง 2007-2010 เกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงนั้น
หุ้น US ตก แล้วก็ขึ้น
ขึ้นมา 73%

หุ้นไทย ตกแล้วก็ขึ้น
ขึ้นมาเป็น 100%

ราคาทอง
ตกแล้วก็ขึ้น 76%

ถ้าได้เห็นราคาของแต่ละดัชนีที่ยกมาให้ดู จะเห็นได้ว่าราคาปัจจุบันนี้ที่ปี 2025 จะเห็นว่ามาไกลกว่าราคานั้นมากๆแล้ว ถ้าใครไม่ได้ซื้อตอนราคาตกต่ำแล้ว การมาเข้าซื้อทีหลัง ก็จะได้ราคาที่แพงและถ้าจนถึงปัจจุบัน ก็เรียกได้ว่า upside gain ก็จะน้อยมากด้วย และที่หนักกว่านั้น ถ้าคุณถือเงินสดมา เรียกได้ว่ายับที่สุด!
ถ้าคุณบอกว่า ไม่เลย ไม่ได้ถือเงินสด แต่ถือตราสารหนี้ บอกได้เลย ว่าผ่อนหนักเป็นเบาได้เล็กน้อยมาก เพราะเงินเฟ้อประมาณ 5% ต่อปี แต่ว่าดอกเบี้ยที่จะได้จากตราสารหนี้อยู่ที่ 1-3% ต่อปีเท่านั้นเอง ในช่วงตอนนั้นถึงปัจจุบัน ก็เรียกได้ว่าเงินก็ยังด้อยค่าต่อไปเรื่อยๆ
การเกษียณที่เลือนลาง
ถ้าเราตั้งใจทำงานเก็บเงิน เพื่อหวังว่าเงินที่เก็บนั้นจะได้ใช้ในตอนที่เราเกษียณ แต่ว่าเราเจอวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ แล้วเลือกถือเงินสดเงินข้ามวิกฤติต่างๆ อย่าง covid และ subprime ที่ผ่านมานี้ ผมคิดว่าน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ภาพเกษียณที่อยากมี มันจะเลือนลางลงไปมากทีเดียว เพราะเงินเท่าเดิมแหล่ะ แต่ซื้อของได้น้อยกว่าเดิมแล้ว เมื่อผ่านช่วงวิกฤติเหล่านั้นไป
เพื่อขยายความในเรื่องนี้ ลองอ่านเรื่อง เงินแข็ง เงินอ่อน และอำนาจของเงิน ดูครับ จะเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมเงินเท่าเดิม แต่มันไม่เท่าเดิม
แบบนี้ต้องหมดหน้าตัก
เปล่าเลย ไม่ใช่แบบนั้นเลย เนื้อหานี้ไม่ได้มากระตุ้นความโลภ เพื่อให้ไปสรรหาลงทุนในสินทรัพย์อะไรเลย แต่สิ่งที่ต้องการชี้ให้เห็นก็คือปัญหาของการเก็บเงินสด ในรูปแบบเงินสดนั่นต่างหาก ที่แย่
เราควรจะเก็บเงินสด ในรูปแบบสินทรัพย์ ที่สร้างขึ้นใหม่ได้ยาก, หาได้ยาก รักษามูลค่าในตัวเองได้ในระยะยาว ระยะยาวในที่นี้เราคุยกันถึงระดับ 5 ปี ขึ้นไปนะครับ เร็วกว่านั้นเรียกระยะสั้นเพราะคนจะเกษียณ ก็ต้องวางแผนล่วงหน้ามาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีแหล่ะ ถึงจะเกษียณได้จริงหรือพอทำได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้าง
และที่สำคัญ สภาพคล่อง หรือ การแปลงสินทรัพย์เป็นสภาพคล่อง เป็นอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันเลย ที่ต้อง balance ให้ดี ตัวอย่าง ถ้าเราเอาเงินทั้งหมดเก็บในรูปแบบที่ดิน ห้องเช่า อสังหาริมทรัพย์ จนเหลือเงินใช้พอแค่ 1 – 2 เดือนเท่านั้น ถ้าสมมุติว่ามีความต้องการใช้เงินก้อนใหญ่เข้ามาในอีก 2 วันนี้ เราจะทำยังไง? แทบเป็นไปไม่ได้เลย ในเวลา 2 วันที่จะได้เงินจากอสังหาในมือของเรา ถ้าเราไม่ยอมขาดทุน ดังนั้น การบริหารสภาพคล่อง ก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน
การเก็บเงินสดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเราต้องมีเงินสดเพียงพอ สำหรับกรณีฉุกเฉินต่างๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าถือเงินสดจนมันหมดมูลค่าไปเยอะมากๆ เพราะเงินเฟ้อประมาณ 4.6% (อิงจากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นจริงๆตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ตัวเลข CPI รัฐบาลประกาศ) ดังนั้น คนที่ถือเงินสด 1 ล้านบาท มูลค่าจะหายไป ปีละ 46,000 บาทเลยทีเดียว เงินจำนวนนี้ ผมสามารถไปเที่ยวต่างประเทศ ครึ่งเดือนสบายๆเลย แบบไม่ต้องกินประหยัด นอนหลับ hostel ด้วยนะ (2คน)
ตรงนี้ ถ้ายังคิดไม่ออกว่าแค่ไหนจะพอ ลองไปอ่าน Mindset ของการลงทุน เปลี่ยนวิธี และแนวคิดการลงทุนขั้นพื้นฐาน ให้ถูกต้อง ก่อนต่อยอดการลงทุน
เลือกสินทรัพย์ให้ถูก เป็นเรื่องสำคัญ
สำคัญมากว่าเราต้องเลือกสินทรัพย์ที่จะเก็บมูลค่าของเราในระยะยาวได้อย่างดี ถ้าเราไปเลือกเก็บเงินในไม้ด่าง หรือ จตุคามรามเทพ เราก็ต่างรู้จุดจบกันมาแล้ว ว่าจะจบอย่างไร เงินล้านกลายเป็นพันบาทมีมากมาย
ถ้าถามเอาคำตอบเร็วๆ ผมเลือกแค่ ทองคำแท่ง และ Bitcoin เท่านั้น โดยให้สัดส่วนของ Bitcoin ที่สูงกว่า เนื่องจาก คุณสมบัติที่ดีกว่าในหลายๆด้าน และ สอดคล้องกับโลกที่ค่อยๆเปลี่ยนผ่านจากยุค analog เป็น digital มากขึ้นเรื่อย ทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต (ใครยังดู TV โดยใช้เสาอากาศอยู่บ้าง?, ใครยังเน้นทำธุรกรรมที่ธนาคาร สาขา มากกว่าใน app หรือหน้าเว็บอยู่บ้าง ฯลฯ) และคุณสมบัติอีกมากมายที่ได้เคยเขียนถึงไปแล้วใน Understanding Bitcoin: Challenges and Misconceptions
จังหวะที่ดี ก็มีผลมาก
แน่นอน ถ้าเราเลือกซื้อตอนที่ราคาสินทรัพย์เหล่านั้นแพง และ เมื่อเจอวิกฤติ ราคาจะตกลงมาก ทำให้มูลค่ามันลดลง และ ถ้าเราไม่มีเงินสดเพื่อรอซื้อ ก็จะยิ่งทำให้เสียโอกาสเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น จังหวะก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน
แต่ถ้ารู้สึกว่า เราก็ไม่ได้มีเวลาในการมาจับจ้องจังหวะมากขนาดนั้น แค่ใช้ชีวิตในแต่ละวัน แต่ละเดือนก็เหนื่อยจะแย่ละ ก็ลองใช้การ DCA ดูก็ได้นะครับ ผมทำตัวอย่างเอาไว้ให้ดูแล้วใน Bitcoin ง่ายๆ ส่วนตัวผมเองก็เลือกวิธีนีด้วยเหมือนกัน เพราะง่ายดี ไม่ต้องทำอะไรมาก ให้ระบบทำงานไปอัตโนมัติ เรามีหน้าที่เติมเงินเท่านั้นพอ
อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง คือสิ่งที่เสี่ยงน้อยที่สุด
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ทำงานอะไร มีความรู้ติดตัวมามากน้อยแค่ไหน สิ่งที่จะทำให้คุณมีความเสี่ยงน้อยที่สุด ในทุกวิกฤติ ที่เกิดขึ้น นั่นคือการ “พัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้น ในทุกๆวัน” นี่คือหัวใจเลย
อย่าไปหลงกับคำกูรูต่างๆ รวมทั้งเนื้อหาที่ผมเขียนก็ด้วยเหมือนกัน อย่าพึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง จนกว่าจะหาความรู้ และ ข้อพิสูจน์ทั้งหมดด้วยตัวเอง นั่นก็ถือว่าเป็นการพัฒนาตัวเองด้วยเหมือนกัน
เพราะไม่ว่าเวลาจะหมุนไปมากแค่ไหน โลกเราจะหมุนเร็วหรือช้าเพียงใด AI จะมาแทนคนวันนี้หรือปีหน้า ถ้าเรายังเป็นคนที่ไม่เคยหยุดในการพัฒนาตัวเอง เราจะเป็นคนที่แข็งแรง เข้มแข็งและพร้อมสำหรับการเผชิญในทุกสถานการณ์และผ่านไปได้โดยแทบจะไม่บาดเจ็บ หรือ บาดเจ็บน้อยที่สุดได้อย่างแน่นอน
ไม่ต้องเป็นเรื่องที่ยิ๋งใหญ่ก็ได้ แต่ขอให้ได้มีก้าวย่างที่พัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วันละนิด วันละหน่อย แต่รวมๆกันเข้า ผ่านไปนานๆเข้า ความก้าวหน้ามันจะใหญ่ขึ้น เหมือนตัวอย่างการ DCA ในลิ้งค์ที่วางให้ข้างบนนั่นเลยล่ะครับ ดังนั้น อย่าดูถูก แม้เพียงน้อยนิด แต่เมื่อคุณด้วยเวลามันก็เยอะ และ ยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน
ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหา หาเพื่อนคุยเรื่องยากๆ ไม่มีคนเข้าใจ ลองแวะเวียนมาคุยกันได้ครับใน Telegram group