Short against port หรือ เรียกสั้นๆว่า SAP กลยุทธ์นี้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการถือสินทรัพย์ใดๆ ที่มีสภาพคล่องสูงในระยะเวลาที่ยาวนาน และต้องการก้าวข้ามผ่านการผันผวนของราคา ทั้งขึ้น และ ลง ไปเรื่อยๆ
โดยปกติ ถ้าเราถือโดยไม่ซื้อเพิ่ม หรือ ขายออก เราจะมีสินทรัพย์จำนวนเท่าเดิมเสมอ แต่ว่า ราคาที่ Mark to market price จะทำให้มูลค่าของสินทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้น ลดลง ตามราคาตลาด แต่เราก็ไม่ได้เงินเพิ่มอะไรแต่อย่างใดจากความผันผวนนั้น โดยเฉพาะ ตลาดที่เป็นราคาขาลง จะสร้างแรงกดดันสภาวะจิตใจเพิ่มขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นขาดทุนกำไร(ทิพย์) ที่เห็นตอนราคาขึ้นสูง และ ขาดทุนที่เป็นทุนจริง จากมูลค่าที่ลดลง ณ ขณะนั้น ซึ่งอาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ก็คือ ขายออก ในราคาที่ต่ำ เพราะคิดว่าเป็นการตัดขาดทุน แล้วเมื่อราคากลับขึ้นสูง ก็ไปซื้อคืน เลยกลายเป็น ขายราคาต่ำ (ได้เงินน้อย) ซื้อราคาแพง (ใช้ทุนเยอะ) แล้วก็เข้าสู่วังวนขาดทุนไม่รู้จบ ตามแบบฉบับเม่ารายย่อยกันไปเรื่อยๆ
ผมเองได้รู้จักเทคนิคการ short against port มานานหลายปีมากๆแล้ว แต่ถ้าจิตใจเรายังไม่มั่นคง และ เข้าไม่เข้าใจ Mindset ที่อยู่เบื้องหลังอย่างเพียงพอ เราจะไม่สามารถใช้มันได้จริง หรือ ไม่สามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์กับตัวเราได้ หรือกลับกัน คือเกิดโทษได้อีก เพราะอาจจะเป็นการขายผิดจังหวะ ทำให้ขายหมูไปแทนนั่นเอง (ขายแล้ว ราคาวิ่งขึ้นไปเกินกว่าจุดที่เราขาย ทำให้ซื้อคืนไม่ได้) ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจกลยุทธ์นี้อย่างลึกซึ้งกันดีกว่า
Short against port คืออะไร
ต้องทำความเข้าใจกันลึกๆ แน่นๆ ก่อนจะไปกันก็ คือการทำ Short against port (เรียกสั้นๆว่า SAP) คือการที่เราต้องการซื้อ และ ถือสินทรัพย์นั้นยาวๆ แต่ว่าเมื่อราคาตก เราก็ขายบางส่วน หรือ ขายออกไปจนหมดมือ แล้ว เราค่อยไปซื้อทั้งหมดกลับคืน (เฉพาะส่วนที่ได้ขายออกไปก่อนหน้านั้น) ตอนราคาถูกกว่าจุดที่เราขาย ตัวอย่าง
- เรามี Bitcoin จำนวน 1 bitcoin ซึ่งตอนนั้น ราคา $100,000
- ต่อมาราคาตกเหลือ $90,000 เราก็ขาย 0.2 bitcoin ออกไป ได้เงินมา $18,000 + คงเหลือ 0.8 bitcoin
- ต่อมาราคาตกเหลือ $80,000 เราก็ขายอีก 0.2 bitcoin ได้เงินมาอีก $16,000 รวมเราจะมีเงิน $34,000 + คงเหลือ 0.6 bitcoin
- ต่อมาราคาตกเหลือ $75,000 เราคิดว่านี่เป็นแนวรับที่ดีมากๆ เราจึงได้ ซื้อ 0.4 bitcoin ที่ขายไปกลับคืนมา ใช้เงิน $30,000 ดังนั้น เราจะมี 1 bitcoin เท่าเดิม และ เงินเหลือ $4,000 (เรียกว่า cash flow)
สรุปว่า เรามี 1 bitcoin เหมือนตอนเริ่มต้น และมีอีก $4,000 ที่เป็นส่วนเกินมา จริงอยู่ว่า ราคาตอนนี้คือ $75,000 เมื่อรวม $4,000 ก็เท่ากับเราเหลือมูลค่า $79,000 แต่อย่าลืมว่า ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรเลย เราก็จะเหลือมูลค่า $75,000 เท่านั้น
ถ้าขายออก แล้ว ราคาไม่ลงมา ก็จะเสียของ?
คำตอบของคำถามนี้ ขึ้นอยู่กับ mindset และวิธีการจัดการในภาพใหญ่ครับ ดังนั้น มีคำตอบได้มากกว่า 1 แบบ ดังนี้
คำตอบ จะตอบว่า “ใช่ คุณขายหมู” ก็ต่อเมื่อคุณมองหน่วยที่เสียไป แล้วไม่สามารถซื้อคืนมาได้อีกแล้ว แล้วจบกัน
คำตอบ จะตอบว่า “ของที่ขายไปแล้ว เราจะสามารถซื้อคืนได้ และยังได้กำไรอยู่ แม้ว่าราคาจะขึ้นไปแพงกว่าราคาที่ขายแล้วก็ตาม” ก็ต่อเมื่อเรามาบริหารจัดการต้นทุน และ บัญชีการขาย ซื้อ ในภาพใหญ่
เนื้อหานี้ ผมจะเล่าเรื่อง การบริหารจัดการอย่างไร มากกว่า จะปล่อยทิ้งว่า คุณขายหมู ดูจะได้ประโยชน์กว่านะครับ
ขออธิบาย step ตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจกรณีขายแล้วราคาวิ่งไปต่อ ดังนี้ครับ (ราคาทั้งหมด เป็นราคาการเคลื่อนที่แบบสมมุติเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจว่าขายแล้วราคาวิ่งต่อ จะต้องทำตัวอย่างไร)
- เรามี Bitcoin จำนวน 1 bitcoin ซึ่งตอนนั้น ราคา $100,000
- ต่อมาราคาตกเหลือ $90,000 เราก็ขาย 0.2 bitcoin ออกไป ได้เงินมา $18,000 + คงเหลือ 0.8 bitcoin
- ราคาพุ่งกลับขึ้นไป แล้วกลับลงมาที่ 120,000 ก็ขาย 0.2 bitcoin ได้เงิน 24,000 (รวมเงินสดเหลือ $42,000)+0.6 bitcoin
- ราคาพุ่งขึ้นไปอีก แล้วกลับลงมาที่ 140,000 ขาย 0.2 bitcoin ได้เงิน 28,000 (รวมเงินสดเหลือ $70,000)+0.4 bitcoin
- แต่เราเชื่อว่า ไม่มีอะไรที่ราคาขึ้นแล้ว จะขึ้นตลอดไป จากนั้นราคาก็หยุดขึ้น แล้วกลับตัวลงมาจริง
- เมื่อราคาตกมาที่ $100,000 เราซื้อ 0.6 bitcoin คืน ใช้เงิน $60,000 จะเหลือเงินส่วนเกิน $10,000 และมี 1 bitcoin เท่าตอนเริ่มต้น
แม้ว่าเราซื้อคืนที่ $100,000 ซึ่งซื้อแพงกว่าราคาไม้แรกที่ขายไปที่ $90,000 แต่ในมือยังเหลือเงิน cash flow ออกมา $70,000-$60,000 = $10,000 นั่นเองครับ และ Bitcoin ก็ยังมีครบ 1 bitcoin เท่าเดิม จะเห็นได้ว่า ขายแล้วราคาพุ่งไป ทำให้ซื้อคืนไม่ได้ หรือว่าการซื้อแพงกว่าที่ขายก็ไม่ได้หมายความว่าจะขาดทุน ถ้าเราบริหารต้นทุนได้อย่างถูกต้อง
น่าจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ว่าขายแล้วราคาวิ่งขึ้น เราจะยังมีวิธีการซื้อคืนได้ ถ้าเราได้ทำบัญชีอย่างครบถ้วน ถูกต้อง
ถ้าราคาขึ้นแล้ว ไม่ลงเลย เราจะไม่มีวันได้ซื้อคืนอีกเลยสิ
เช่นเดิม แล้วแต่มุมมองอีกแล้วครับ
มุมมองแรก ก็คือ “ใช่ครับ ราคาพุ่งอย่างเดียว เราจะซื้อคืนไม่ได้ เพราะไม่มีของถูกให้ซื้อคืนอีกแล้ว”
มุมมองสอง ก็คือ “เราได้เงินสดในมือ เพื่อไปหา asset ตัวใหม่ทำแบบเดิมได้อีก”
มุมมองสาม ก็คือ “ไม่มีสินทรัพย์ไหน ที่ขึ้นแล้วไม่ลง เอาแต่ขึ้นอย่างเดียว”
เลือกเอาเลยครับ ว่าชอบมุมไหน เอาไปเป็นคำตอบตัวเองได้เลย ส่วนตัวผมเอง เลือกมองมุมสาม เพราะนั่นคือ โลกความเป็นจริงมากที่สุดแล้ว ไม่มีสินทรัพย์อะไรที่ขึ้นแล้วไม่ลง ไม่ย่อ เอาแต่แพงอย่างเดียว ถ้ามีแบบนั้นจริง คำถามของผมคือ คุณรู้ได้อย่างไร ว่าสินทรัพย์ตัวนั้นจะมีพฤติกรรมแบบนั้น? ถ้าคุณรู้ คุณจะรวยกว่าเจ้าสัวเมืองไทยได้แน่นอน ด้วยการขายบ้าน ขายรถ กู้เพื่อน กู้ญาติ กู้ทุกอย่างที่สามารถกู้ได้ เพื่อไปซื้อสินทรัพย์นั้นให้หมดตัว พร้อมทั้ง leverage เปิด long Futures ด้วย 125x ไปเลยครับ ปิดหน้านี้ แล้วไปทำแบบนั้นได้เลย การจะทำแบบนั้นได้ เราต้องรู้อนาคต ซึ่งเราไม่รู้น่ะสิ
เรารู้อย่างเดียวก็คือ “ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน” ถ้าเข้าใจคำนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ก็จะเข้าใจชีวิต และโลกใบนี้อีกมาก ว่าโลก หรือ สิ่งต่างๆที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันนั้นช่างเปราะบางเพียงใด
ผมเป็นคนที่พยายามมองโลกตามความเป็นจริงมากกว่า ไม่เพ้อฝัน ไม่สวยหรู พรมแดง หรือ วิ่งในทุ่งลาเวนเดอ แต่ว่าก็ไม่ dark ไม่ดำสนิท ที่ไร้สิ้นซึ่งโอกาสใดๆ ผมมองว่า มีขึ้นได้ ก็ลงได้ เราก็ต้องพยายามบริหารจัดการตรงนี้ให้ดี ด้วยเทคนิคต่างๆ ที่เราจัดการได้ครับ โดยเทคนิคผมจะกล่าวในส่วนถัดไป
ถ้าขายออกไปแล้ว จะซื้อคืนเมื่อไร
โดยปกติแล้ว เราจะซื้อไม้ที่เราขายออกไปแล้ว เมื่อราคากลับตัวขึ้น หรือ เมื่อเราพอใจในกำไร
อาจจะสงสัยว่า อะไรคือการกลับตัว? ผมคิดแบบนี้ครับ การกลับตัว ก็คือ ราคาที่ลงต่ำมาก แล้วเริ่มเด้งขึ้นมา จริงอยู่ว่า นั่นอาจจะเป็น “กลับตัว” หรือ “เด้งเพื่อลงต่อ” แต่เราอย่าไปกลัว เพราะถ้า “กลับตัว” จริง เราก็จะได้ซื้อของคืน ในราคาถูกแล้ว(พร้อมเก็บ cash flow เอาไว้) แต่ถ้าเป็น “เด้งเพื่อลงต่อ” เราก็เดินหน้าทำ SAP ไปอีก ก็คือ ซื้อมาแล้ว ก็เริ่มขายต่อไปทำตามระบบ ง่ายๆแค่นี้เอง เพราะเราต้องไม่ลืมว่า mindset สำคัญที่เราตั้งต้นตั้งแต่แรก คือพยายามรักษาของเอาไว้ให้ได้เท่าเดิม เพิ่มเติมคือ cash flow ออกมาเป็นของแถม ดีกว่าถือของไว้เฉยๆ ให้มูลค่าตกลงไปเรื่อยๆโดยไม่ได้อะไรออกมาเลย
เลือกสินทรัพย์ให้ถูกต้อง สำคัญไม่แพ้กัน
จริงอยู่ว่าผมก็ไม่ได้โลกสวยถึงขนาดที่ว่าซื้ออะไรก็ได้ เด๊๋ยวมันลงแล้วก็ขึ้นเหมือนกันหมดแหล่ะ เพราะไม่มีอะไรที่จะลงตลอดไป คำกล่าวนี้ก็ดูจะเกินจริงไปมาก เพราะความจริง มีสินทรัพย์จำนวนมากที่ลงไปเป็น 0 ได้ในชั่วข้ามคืน ดังนั้นเราก็ต้องเลือกสินทรัพย์ให้ถูกต้องด้วยเหมือนกันเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราเอาเงินไปซื้อสินทรัพย์อะไรมาแล้วก็ตาม แล้วราคามันลงไปเป็น 0 ต่อให้กลยุทธ์อะไรก็เอาไม่อยู่ครับ อีกเช่นกันแหล่ะ ถ้าเรารู้ว่าจะเป็นแบบนั้นก็ Short leverage 100x ก็รวยอีกเหมือนกัน แต่ว่า SAP ก็ดีอย่าง ตรงที่เมื่อราคามันลง ทำให้เราขายออกไปเรื่อยๆด้วยนั่นเอง ดังนั้น ถึงจุดนึง ของจะหมดมือได้เช่นกัน
หลักการนี้ล้อตามความเป็นจริงของโลก ก็คือเราจ่ายเงินซื้ออะไรมาสักอย่างนึง แล้วกอดเอาไว้จนราคาลงไปเรื่อยๆ เป็น 0 เราจะขาดทุนย่อยยับ แต่ถ้าเราค่อยๆทยอยขายมันออกไป เราก็ยังขาดทุน แต่ก็ยังเหลือทุนให้เราได้เก็บเอาไปทำอย่างอื่นต่อได้บ้าง
ถ้าราคาลงไปเรื่อยๆ เราก็จะต้องขายสินทรัพย์นั้นจนหมดมือเลย?
คำตอบคือ ใช่ครับ
แต่ต้องมาพิจารณาดีๆ ในความเป็นจริง ถ้าสินค้าที่เราถืออยู่ราคาลงไปเรื่อยๆ ลงไม่หยุด ลงแล้วลงอีก ลงทุกวัน ลงจนต้องร้องขอชีวิต สินทรัพย์แบบนี้ อยากถือเอาไว้ในมือจริงๆหรือ?
ขายสิครับ ขายไปเถอะครับ เปลี่ยนเป็นเงินสด ไปลงตัวอื่นดีกว่า
ผมมีประสบการณ์ตรงเรื่องนึง นั่นคือ ความเจ็บปวดจากการรัก Project เกินไป แต่ขาดทุนยับ ในช่วงปี 2020 ต่อ 2021 ที่เป็นช่วงที่ทุกอย่าง กำลังสดใส มีคนที่รู้จักกัน ทักเข้ามาเพื่อนำเสนอ project นึง เค้าก็ present ทุกอย่างมาได้ดี สวยงามมาก (เป็นของเพื่อนของเพื่อนอีกที) แล้วก็รันมาแล้วจริงด้วยระยะนึง เค้าก็บอกต่อว่า ซื้อได้ ตัวนี้ OK เลย ความเสี่ยงก็มีบ้างนะ แต่ระยะยาว OK ผมก็เลยซื้อมา ด้วยเงิน 6 หลัก (ไทยบาท) แล้วก็ถือไป ก็ไม่ได้แวะมาดูอะไรอีก เพราะว่า ตอนนั้นวุ่นกับการทำ Yield farm ของตัวเอง เงินตรงนี้ ก็เป็นเงินกำไรที่ได้มานั่นแหล่ะ แล้ว ก็คิดว่าเอาไว้เป็นเงินลงทุน เผื่อจะได้สัก 2-3 เด้ง ,,, เวลาก็ผ่านไป สัก 6 เดือนได้ เปิดอีกที rug ไปแล้วเรียบร้อย ก็คือ dev ขาย token แล้ว ถอน LP เผ่นแนบ ผมนี่เหวอเลย ดังนั้นถ้าเราเอาเงินไปลงทุนแบบนี้ แล้วราคาลงแบบนี้ เราจะอยากถือสินทรัพย์เหล่านั้นไว้จริงๆหรือ? อย่างน้อยถ้าตอนนั้นผมทำ SAP ก็ยังได้เงินออกมาบ้าง นี่คือ 6 หลัก กลายเป็น 0 บาทเลย
เมื่อเราขายสินทรัพย์เหล่านั้นไปแล้ว แล้วไปซื้อคืนราคาต่ำๆ ที่แน่ๆ เรามี cash flow ในมือแน่นอน และสินทรัพย์ที่ยังมีจำนวนเท่าเดิม แต่ถ้าขายหมดมือแล้ว ก็ลองพิจารณาว่า จะทิ้งแล้วไปหาตัวใหม่ หรือ ปล่อยให้สินทรัพย์ตัวนั้นไปที่ชอบๆเอาเอง ถ้าเราเลือกซื้อคืนแล้วถ้าโชคดี ราคากลับขึ้นมา ณ ราคาทุนที่เราซื้อสินทรัพย์ตัวนั้นในครั้งแรก นั่นก็แปลว่า cash flow ทั้งหมด คือเงินที่ได้มาฟรีเลย ขายออกที่ราคาทุนก็คือกำไรอยู่ดี
mindset คือเรื่องที่สำคัญมาก
อย่างที่เล่ามาตลอดทาง ว่า mindset เป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องนึง ในการที่ทำให้เราเริ่มต้นทำ SAP
โดยทั่วไป ถ้าเราจะทำ SAP จะมี mindset ที่ประกอบดังนี้
- ต้องการถือสินทรัพย์นั้นให้ได้นานที่สุดโดยมีจำนวนเท่าเดิม ไม่เพิ่ม หรือ ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ในระยะยาว เพราะถ้าจำนวนลดลง ระหว่างทางที่ราคาเพิ่มเรื่อยๆเราจะขาดทุนกำไรที่ควรจะได้ กลับกัน ถ้าสินทรัพย์เพิ่มในช่วงที่ราคาลดลงเรื่อยๆ เราจะมีโอกาสขาดทุนเป็นตัวเงินได้มากขึ้นเรื่อยๆ (ทุนจม)
- ถ้าราคาสินทรัพย์ลงต่อเนื่อง ก็ละทิ้ง ไปหาสินทรัพย์ตัวใหม่ที่มีพื้นฐานที่ดีกว่า เพราะเราได้ขายออกมาเป็นเงินสดในมือก่อนนั้นแล้ว อย่ารัก อย่ากอด มองตามความเป็นจริง
- ถ้าราคาสินทรัพย์ขึ้นต่อเนื่อง กอดให้แน่นๆ รักให้มากๆ ถือกันไปยาวๆ
- เน้นที่เรื่องลดความเสี่ยงของการถือสินทรัพย์เป็นเรื่องหลัก กำไรจาก cash flow เป็นเรื่องรอง คือ ได้กำไรหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นเท่า ราคาสินทรัพย์นั้นพังแล้วเรากระโดดออกได้ทัน และยังมีเงินสดในมืออยู่
- มองว่า Cash flow คือของแถม จากการทำกลยุทธ์นี้ แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายหลักที่ต้องเค้นออกมา ดังนั้น เราไม่ได้มุ่งเน้นเพื่อหากำไรสูงสุดจากการทำวิธีนี้ แต่ตัววัดผล คือ จำนวนสินทรัพย์ยังเหลือเท่าเดิม ไม่ว่าราคาขึ้นหรือลงไปไกล และ นานแค่ไหนก็ตาม และระหว่างทาง ก็ได้เงินออกมาเป็นของแถม
- เงิน cash flow ที่ได้ จะเอาไปเสี่ยงเพิ่มขึ้น เพื่อหวังผลตอบแทนเพิ่มขึ้นก็ได้ เพราะนั่นคือเงินฟรีแล้ว (เช่นเอาไป open futures position , options call)
ต้องเฝ้าหน้าจอสิ
ไม่ครับ ผมก็เป็นพวกไม่ trade, ไม่เฝ้าหน้าจอ ผมชอบให้ Bot ทำงานแทนโดยเฉพาะงานที่ต้องติดตามราคา คิดคำนวณ ลงบัญชีแบบที่เล่าให้ฟังทั้งหมด เป็นงานที่ไม่ได้ซับซ้อนเลย แต่ว่าต้องอาศัยการติดตามตลอดเวลา
แต่ความจริง ไม่ต้องมี Bot ก็ทำได้ โดยการใช้ feature พวก stop loss และ take profit ให้เป็น แต่อย่างไรก็ดีจำเป็นต้องติดตาม และ จัดการเรื่องบัญชีอีกอยู่ดี อีกทั้ง บางช่วงที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวค่อนข้างเยอะ เราก็อาจจะพลาดการนั่งจัดการ position เหล่านี้ด้วย ดังนั้น ผมก็เอาระบบที่สร้างขึ้นมานี่แหล่ะมาเป็นตัวจัดการทั้งหมด ทำให้ระบบเรียบง่าย เพราะยังเชื่อว่า simple is the best ที่เหลือเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว
SAP ได้ผลเป็นอย่างไร?
ตอนนี้ เขียนระบบขึ้นมาทำงาน ผลที่ได้ ก็แตกต่างกันไป ดังรายละเอียดด้านล่างครับ
- ตัวที่1 อายุ144วัน APR 13.28%
- ตัวที2 อายุ157วัน APR 3.84%
- ตัวที่3 อายุ161วัน APR 6.55%
- ตัวที่4 อายุ161วัน APR 23.76% ราคาปัจจุบัน -28% จากราคาต่ำสุดที่ได้ขายออกไป ไม่ซื้อคืนอีกแล้ว
- ตัวที่5 อายุ162วัน APR 3.17%
- ตัวที่6 อายุ164วัน APR 14.45%
- ตัวที่7 อายุ164วัน APR 10.54%
- ตัวที่8 อายุ170วัน APR 10.34%
แน่นอนว่า ผลลัพท์ที่ได้ ยังใช้เวลารันน้อยอยู่ แต่ตั้งใจจะรันไปยาวๆเลย เพราะอย่างที่บอก mindset ไม่ได้อยู่ที่เรื่องผลตอบแทน แต่อยู่ที่ระบบสามารถ handle เมื่อราคาลง และราคาขึ้นได้ดีมากน้อย ตาม mindset ที่ได้เล่าไปในย่อหน้าบน
ตอนนี้ ผมก็ไม่ได้กลัว ว่าราคาจะลงหรือจะขึ้นจากตลาดอีกต่อไป เพราะมีวิธีในการรับมือแล้วนั่นเอง และตัวที่ 4 ผมตั้งให้ขายอย่างเดียว ไม่ซื้อคืนอีก พอขายออกหมด ก็หยุดแล้วเก็บ cashflow ออก สรุปว่าตอนนี้ราคาตลาดต่ำกว่าไม้สุดท้ายที่ขายออกไปแล้ว 28% ถ้าถือต่อจนปัจจุบันก็ขาดทุนต่อไปอีก นี่คือหน้างานจริงเลยครับ
มีวิธีทำ SAP แต่ไม่ต้องใช้การขายออกได้มั้ย
คำตอบคือ ได้, มี 2 วิธี
1) Futures market
Open Short position ใน Futures market ดังนี้ (ขออิงราคาเหมือนด้านบน เพื่อความง่าย)
- $90,000 open short position size 0.2 bitcoin
- $80,000 open short position size 0.2 bitcoin
- $75,000 close all short position (0.4 bitcoin) จะได้ realized profit ออกมา $4,000 (ยังไม่ได้คิดหรือหักค่าธรรมเนียมใดๆ)
เพราะเมื่อราคาตก Short position จะเกิดกำไรขึ้น (ขายตอนราคาแพง = open position, ซื้อคืนตอนถูก = close position)
2) Options market
Buy a Put Option (Long Put) – ซื้อสิทธิ์ในการขาย Bitcoin ในอนาคตที่ราคาตกลงกันไว้, ถ้าราคา Bitcoin ลดลง Put Option จะให้กำไรชดเชย
กรณีนี้เราจะทำแตกต่างไปเล็กน้อย เพราะเราสามารถซื้อล่วงหน้าได้ตั้งแต่ราคา $100,000 หรือตอนที่เริ่มต้นได้เลย แต่ว่าเราจะซื้อ (Long) ที่ strike price ดังนี้ (กำหนดให้ 1 contract = 1 Bitcoin)
- strike price $90,000 Long Put 0.2 contract
- strike price $80,000 Long Put 0.2 contract
- เมื่อราคาลงมาถึง $75,000 และ สัญญา options ยังไม่หมดอายุ เราก็สามารถ exercise ได้เลย (เป็นการบังคับดำเนินการตามสัญญา) เพื่อให้เราได้กำไรส่วนต่าง จากการขายที่ราคาตามหน้าสัญญาที่ระบุเอาไว้ (ซึ่งแพงกว่าราคาปัจจุบัน)
การที่เราซื้อ strike price ที่ราคาถูกกว่าตลาดปัจจุบัน จะทำให้ค่าธรรมเนียมการสร้างสัญญานั้นถูกกว่าการเปิดสัญญาที่ strike price เท่ากับราคาปัจจุบัน (เพราะเรากำลังจะซื้อสัญญา “ขาย Bitcoin ในราคาที่ถูกกว่าราคา ณ วันในอนาคต”)
อย่างไรก็ดี ทั้ง Futures, Options ต่างก็มีความซับซ้อนในตัวเองอยู่มาก อย่าง Futures market เราก็ต้องเลือกว่าจะเปิดสัญญาแบบมีอายุหรือไม่ ถ้ามีอายุ แล้วราคายังลงมาไม่ถึง เราอาจจะต้องหาวิธีการ roll over ต่อ หรือก็ต้องยอมปิดสัญญา realize ก่อนเป้าหมายราคา หรือไม่อย่างนั้นเราก็ต้องเลือกใช้งานแบบ perpetual หรือแบบไม่มีอายุ แต่ว่าเราก็ต้องมาระวังเรื่องค่าธรรมเนียมในการรักษาสัญญาต่อเนื่อง อาจจะทุกๆ 8-24 ชั่วโมง แล้วแต่ platform อีกด้วย ส่วน Options นี่ก็ต้องคำนึงทั้ง premium price, expiration date ด้วยเหมือนกัน เราอาจจะได้กำไรจากการคำนวณ แต่ว่า อาจจะตกม้าตายเพราะเรื่องค่าธรรมเนียมตามก็ได้ เพราะยิ่งเราเลือกสัญญาที่มีอายุนานๆ ยิ่งต้องจ่าย premium แพงๆ (หลักการเหมือนเราจ่ายเงินเพื่อซื้อประกันหรือที่เรียกว่าเบี้ยประกันนั่นแหล่ะ มันคือสิ่งเดียวกันเลย)
Back to basic
เรากลับมาที่วิธีการพื้นฐานที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดดีกว่า นั่นก็คือ การ ซื้อ และ ขาย สินทรัพย์ แบบนี้เข้าใจง่าย และ ตรงไปตรงมามากที่สุด ก็คือ เหมือนตัวอย่างที่เรายกให้ดูข้างบนเลย เราขายตอนที่ราคาแพง แล้วไปรอซื้อคืน ตอนที่ราคาถูกลงมา ส่วนต่างระหว่าง ราคาขาย ลบ ราคาซื้อ คูณด้วยจำนวน ก็จะเป็นกำไร (เรียกว่า cash flow) ที่เราได้รับออกมานั่นเอง แบบนี้คนทั่วไปเข้าใจได้ไม่ยากเลย ขายตอนแพงๆ ซื้อตอนถูกๆ
เทคนิคการทำ SAP
ก็จะมาแบ่งปันเทคนิคต่างๆที่สำคัญ นอกเหนือจากหลักการพื้นฐานที่ได้เล่าไปแล้ว ข้างต้นนะครับ
เนื้อหาที่ซ่อนอยู่ อธิบายเทคนิคการทำ SAP จากประสบการณ์ตรง และ ปัจจัยที่ต้องพิจารณา ที่ทำให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น หรือลดลง แนวทาง และจังหวะต่างๆ ที่นำไปใช้ได้เลย
เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น
เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reachแม้ว่าเราไม่ได้เขียน Bot เหมือนอย่างที่ผมทำ แต่ว่าเทคนิค และ mindset เหล่านี้ ก็ยังเป็นแนวทางที่ดี ที่สามารถนำไปประยุกต์เพื่อบริหารความเสี่ยงของ portfolio ได้อยู่ครับ