เรื่องอายัดบัญชี พอมานั่งพิจารณาดีๆ ก็มีข้อดีเหมือนกันนะ
นั่นคือการที่ทำให้เราได้ตรวจสอบสินทรัพย์และการบริหารจัดการ รวมทั้งช่องทางและทางออกอื่นๆที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน ว่าได้เตรียมความพร้อมสำหรับการโดนอายัดบัญชีแล้วหรือยัง (ไม่มีใครอยากโดน แต่ถ้าโดนขึ้นมา เราพร้อมรับมือมั้ย? เตรียมการหรือยัง?)
สมมุติสถานการณ์ เราโดนอายัดบัญชีที่มีเงินก้อนใหญ่อยู่ในนั้น จะต้องทำอย่างไรต่อ? ซึ่งกว่าจะปลดได้ต้องดำเนินการด้านเอกสารต่างๆมากมายไม่น้อยกว่า 6 เดือน (ย้ำอีกที ถ้าเราโดนจริง เราพร้อมมั้ย? บนสถานการณ์สมมุตินี้)
อีกสถานการณ์คือ โดนอายัดทุกบัญชีในเลขบัตรประชาชนเราทั้งหมด จะทำอย่างไรต่อ? ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาแก้ปัญหาเป็นปี! (คิดไปให้สุดเลย เหมือนติดคุกทางการเงินอยู่ในประเทศเลยทีเดียว)
แน่นอน ความเสียหายยังไงก็ต้องเกิดและสิ่งที่ตามมาก็คือ ใช้เวลาพร้อมทั้งค่าใช้จ่ายมากมาย ในการดำเนินการปลดล็อคบัญชี ผมนั่งอ่านหลายเคส หลักปี บางคนสองปีกว่าก็ยังมี โดยธนาคารก็ยืนท่าเดิม คือไปหาเอกสารหลักฐานชี้แจงรายรับแต่ละบรรทัดมาให้ครบ หลายเคสก็ส่งให้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถปลดล็อคได้ ดูเหมือนมาตรฐานจะไม่ชัดเจน และไม่มีแนวทางที่แน่ชัดในการดำเนินการเมื่อเราเจอกรณีเหล่านี้
เนื้อหานี้ ผมเลยจะมาชวนคิด และ หาวิธีเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ก่อนเหตุจะเกิด เพราะถ้าเราประมาทไม่คิดว่าจะเกิด แต่ดันเกิดที่เรา เราจะแก้อย่างไร ผมไม่ได้ถือว่าแนะนำ แต่แค่มาเล่าสู่กันฟัง ว่าทางออกที่เป็นไปได้นั้นมีทางไหนบ้าง และ แต่ละทาง ใช้งานได้อย่างไรเอาตัวรอดได้อย่างไร และ มีศักยภาพขนาดไหน ยาวไปถึงขั้นว่า ทำให้เราเอาตัวรอดสัก 2 ปี ได้เลยหรือไม่ หรือไกลกว่านั้นไปอีก…..
เงินสด
แน่นอน นี่คือสิ่งที่เรียบง่ายและยังใช้งานได้เสมอ เราควรจะต้องมีเงินสด ที่เก็บเอาไว้ที่บ้าน ในจุดที่ปลอดภัยมากเพียงพอสำหรับการใช้งานได้นาน 6 เดือนเป็นอย่างน้อย ซึ่งเงินนี้ จะเป็นเงินก้อนเดียวกับเงินฉุกเฉินก็ได้เช่นกัน (เงิน ฉุกเฉิน คือเงินที่เราต้องใช้ในกรณีฉุกเฉินร้ายแรงเท่านั้น โดยปกติเราจะไม่ใช้มันเลยและควรจะเก็บเท่ากับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ของแต่ละเดือน คูณ 6 ถึง 12 แล้วแต่ความเสี่ยงทางด้านรายรับของแต่ละคน บางคนเสี่ยงมาก ก็เติมให้พอ สำหรับ 12 เดือน แปลว่าถ้ารายรับหายไป เราจะยังอยู่ได้ 12 เดือน) แต่หลายกรณี ก็มีปัญหายาวนานเป็นปี 2 ปี อันนี้ อาจจะไม่พอน่าจะต้องเอาข้ออื่นเข้ามาช่วยด้วย
สำหรับเงินก้อนนี้ บางคนอาจจะบอกว่า เสียดายดอกเบี้ยเก็บเงินสดทำไม ฝากธนาคารดีกว่าแต่ผมอยากชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในยามที่ต้องการใช้มากกว่าดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพ ถ้ารายจ่ายเดือนละ 30,000 บาท ถ้าเราเก็บ คูณ 12 เดือนเลย เท่ากับ เราต้องเก็บเงินเอาไว้ที่บ้าน 360,000 บาท ตอนนี้ อัตราดอกเบี้ย ผมให้เลย 0.5% แปลว่า 1 ปี เราจะอดได้รับดอกเบี้ย 1,800 บาท ซึ่งเมื่อเราหารต่อวัน ก็คือ 4.93 บาท คือดอกเบี้ยที่เราจะไม่ได้รับในแต่ละวัน นั่นแลกกับความเสี่ยงที่ลดลง และ หลักประกันว่ายังมีเงินใช้ไปได้นานอีก 1 ปี นับจากวันที่บัญชีโดนอายัด ก็ขอให้คิดว่าเราเปลี่ยนดอกเบี้ยเป็นการจ่ายค่าประกันว่าเราจะมีเงินใช้ในวันที่บัญชีโดนอายัด วันละ 4.93 บาทนั่นเอง
โดยเงินสดนี้เราเข้าใจกันได้อยู่แล้วว่าสามารถเปลี่ยนไปเป็นสินค้า บริการ อาหาร ฯลฯ ได้ง่ายที่สุด แม้ว่าหลายร้านไม่รับเงินสดแล้ว แต่ว่าเรายังซื้อของได้จากร้านค้าต่างๆ ที่ยังรับเงินสดได้อย่างแน่นอน และกฎหมายก็บังคับให้ร้านค้าต่างๆไม่สามารถปฏิเสธการรับเงินสดได้อีกด้วย ดังนั้นนี่คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้ว
ทองคำ
ใช่แล้ว ถ้าคนที่ได้อ่านเว็บนี้มานาน ผมก็เล่าสู่กันฟังมานานแล้วด้วยเหมือนกันว่า ทองคำแท่ง กับ Bitcoin ซื้อเก็บไว้เป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อยามฉุกเฉินเถอะ และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คุณก็จะมีทางเลือกให้ตัวเองมากขึ้น นอกเหนือจากเงินสดแล้วก็จะได้ทองคำนี่แหล่ะที่จะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ โดยการเอามันไปแปลงเป็นเงินสดอีกทีนั่นเอง
ถ้าเราไม่อยากขายทองคำ เพราะเรามองว่าระยะยาวมาก ราคามันจะขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ใช้วิธีจำนำ หรือ ขายฝาก ก็ได้เช่นกัน ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ การจำนำและขายฝากนั้น ทองจะยังเป็นของเราอยู่ ไม่ว่าราคาจะขึ้นไปมากขนาดไหนก็ตาม แต่ว่า การขายทอง ทองนั้นจะไม่เป็นของเราอีกต่อไป และอีกประเด็นคือ ค่าใช้จ่าย เพราะจำนำและขายฝาก เราต้องจ่ายดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ประมาณ ปีละ 15% จนกว่าเราจะมีเงินต้นทั้งหมดไปคืนเค้า แต่ว่าถ้าเราจำนำหรือขายฝากแค่ไม่กี่เดือน ก็ไม่ต้องจ่ายเต็ม 15% เพราะเค้าจะคิดตามระยะเวลาจริง จากนั้นจึงจะรับทองคำกลับมาได้ ดังนั้นก็เลือกใช้ให้เหมาะ เพราะถ้าเรามองว่าสถานการณ์น่าจะไม่ยืดเยื้อ เราก็จำนำ หรือ ขายฝากไปก่อน แล้วเมื่อได้เงินหลับมาก็เอาไปไถ่ถอนทองคำกลับมา เป็นอันจบ
ทองคำแท่งเท่านั้น ที่คุณคู่ควร ผมพูดเสมอว่า ทองที่เราจะเก็บ ต้องเป็นทองคำแท่งเท่านั้น เพราะเวลาที่เราจ่ายเงินซื้อ เราไม่ต้องเสียค่ากำเน็จ และ เมื่อตอนที่เราขาย ก็จะไม่ถูกกดราคาด้วย และถ้าเป็นไปได้ ควรเป็น ทองคำแท่ง 99.9% เพราะเป็นทองคำแท่งบริสุทธิ์ ที่มูลค่าต่อน้ำหนักและขนาดสูงกว่า 96.5 จะได้ไม่เปลืองที่เก็บ และ เบากว่านั่นเอง (ทองบริสุทธ์)
สินทรัพย์
ก็เช่นเดียวกับทองคำ ในยามที่เราต้องใช้งาน เราก็ต้องกลับมาพิจารณาว่าเรามีสินทรัพย์อะไรอีกบ้าง ที่สามารถเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดเพื่อเอามาใช้ได้อีกบ้าง
คนที่มีสินทรัพย์เยอะ ก็อาจจะได้เปรียบหน่อย ตรงที่มีของหลายอย่างให้เอาไปขายแลกเปลี่ยนมาเป็นเงินได้ แต่ข้อเสียที่ชัดเจนก็คือ โดยส่วนใหญ่สินทรัพย์มักจะขายออกในราคาที่ต่ำกว่าที่เราซื้อมา เว้นแต่ว่าสินทรัพย์นั้นเป็นสินทรัพย์ที่ตลาดมีความต้องการสูง และหาซื้อกันอย่างต่อเนื่องแต่กลับผลิตน้อยหรือไม่ผลิตอีกแล้ว แต่โดยส่วนใหญ่มักจะขาดทุนแน่นอน ในประเด็นนี้ก็อาจจะต้องพิจารณาให้ดีด้วย
แต่ถ้ามองอีกมุมนึงในทาง ธรรม ก็คือเราเป็นเจ้าของอะไร ก็เป็นทุกข์ เราครอบครองเท่าที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็เพียงพอ ตัวจะเบาขึ้น และ เราก็จะไม่ต้องเสียเงินไปกับการซื้อของอะไรมาครอบครองและต้องดูแลอีกด้วย อันนี้ลอง balance ให้ดีๆ เอาที่เหมาะสมครับ
เพื่อน / ครอบครัว
เป็นอีกช่องทางนึงที่ทำให้เราสามารถเอาตัวรอดได้นอกเหนือจากเงินสด นั่นก็คือการขอความช่วยเหลือจาก ครอบครัว หรือ เพื่อนที่เรารู้จัก ซึ่งในช่วงที่ภาวะการเงินที่เป็นปกติ สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดก็คือการรักษาเครดิตส่วนตัวเอาไว้ และเมื่อถึงยามฉุกเฉิน จึงจะเข้าใจได้ตรงกันว่าเราฉุกเฉินจริงๆ
แต่ถ้าในยามปกติเรายืมพร่ำเพรื่อไปเรื่อยเปื่อย นั่นจะหมายถึงเราบริหารจัดการทางด้านการเงินเราไม่ได้เลย แบบนี้เวลาฉุกเฉินจริงจะหายืมได้ยาก (เพราะจำเป็นตลอด ก็ไม่ได้นะ)
บางครั้ง เราอาจจะไม่ได้หยิบยืมตรงๆ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนบางอย่างก็ได้เช่นกัน เช่น เราทำสัญญาเงินกู้จริงจัง ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้งแบบที่ไม่มี และ มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถ หรือ ทรัพย์สินมีค่าอื่นๆก็ได้ ถ้าเราไม่คืน เค้าก็ยึด ก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน ดีกว่า และเหมาะสมกว่าการยืมกันลอยๆโดยที่คนให้ยืมก็ไม่รู้ว่าเราจะคืนจริงมั้ย
Crypto currency
ที่จริงแล้ว Crypto currency ก็จะทำงานเหมือนกับ สินทรัพย์ที่เล่าไปแล้วข้างต้น ก็คือใช้เพื่อการแลกเปลี่ยนมาเป็นเงินสด แต่เมื่อบัญชีธนาคารเราโดนอายัดไปซะแล้ว อาจจะต้องใช้บัญชีคนอื่น ซึ่งเป็นแนวทางที่ผิดกฎหมายทั้งไทยและสากล อาจจะต้องเลี่ยงไปใช้การแลกเปลี่ยนโดยกันแบบเจอหน้ากัน ตัวต่อตัว แล้วรับเงินสดแทน แต่วิธีนี้ค่อนข้างอันตรายมาก และไม่ควรแลกในสถานที่เปลี่ยวควรแลกในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน มีกล้องวงจรปิดเยอะ แต่ยังไงก็อันตรายอยู่ดี เพราะเราไม่รู้เลยว่า มีใครติดตามเราหลังจากที่เราแลกหรือไม่ หรือเค้าวางแผนอะไรอีกหลังจากนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีทางเลือก แนวทางนี้ ก็ยังพอใช้งานได้ ถ้าจะให้ดีที่สุด ก็ควรแลกกับคนที่เรารู้จัก และไว้วางใจได้ โดยให้ส่วนต่าง ราคาที่ต่ำกว่าตลาดสัก 5-10% ผมว่า OK แล้ว อย่างน้อย ก็โดนส่วนลด(ขาดทุน) น้อยกว่าการถือสินทรัพย์แบบอื่น ที่อาจจะต้องขาดทุนไปเกิน 50%
แต่ถ้า Crypto ตัวนั้นราคาตก เราอาจจะใช้การไปวางค้ำใน Lending platform แล้ว กู้ USDT มาขายแทนก็ได้ แบบนี้ ก็จะง่ายขึ้นเยอะแล้วรอราคา Crypto ตัวนั้นขึ้นมาแพงๆเราก็ค่อยขายออกไป แล้วคืนหนี้ นี่ก็เป็นแนวทางบริหารเงินอีกแบบได้เช่นกัน
บัตร Debit crypto currency
อันนี้ เป็นอีกอันที่ถือว่าเป็นท่าไม้ตายเลย เพราะว่าใช้งาน จ่ายคล่อง และ ตอบสนองทุก Lifestyle สำหรับทุกคน เพราะมันสามารถใช้กดเงินสด ผ่านตู้ ATM ได้ (อัตราแลกเปลี่ยนแต่ละบัตรจะอยู่ที่ 2-5% ไม่เกินนี้) และเรายังใช้รูดซื้อสินค้า และบริการได้ตรงๆอีกด้วย หลายบัตรก็ใช้ซื้อของที่ 7-11 ได้ตรงๆ หรือว่า ซื้อผ่าน Platform online ของไทยได้เลย (อันนี้บางบัตรจะไม่ได้) เท่านั้นไม่พอ เรายังใช้รูดซื้อสินค้าบริการต่างๆได้แทบทุกอย่าง เสมือนมีบัตรเครดิตตรงๆเลยนี่แหล่ะ
แนวทางนี้ จะดูเป็นแนวทางที่น่าสนใจมากอันนึง ถ้าเราเน้นการพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก เพราะไม่ต้องเดือดร้อนใคร ไม่ต้องมีบัญชีธนาคารในไทย ไม่ต้องแลกอัตราแลกเปลี่ยนอะไร เพราะระบบทีให้บริการบัตรเหล่านี้มีบริการทุกอย่างพร้อมอยู่แล้วในบัตรที่เราใช้ และในปัจจุบันนี้ ผมนับๆดู น่าจะมีให้บริการเกือบๆ 10 เจ้าได้แล้วครับ ผมก็ไม่ได้ใช้กับเค้าทุกเจ้าหรอกนะ มันก็ทำหน้าที่เหมือนๆกันนั่นแหล่ะ แต่มีติดไว้สำรองก็ไม่เสียหายอะไร เพราะหลายบัตรไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีด้วย และไม่โดนปิดแม้ไม่ใช้งาน อันนี้ต้องศึกษาเงื่อนไขและรายละเอียดกันดูอีกทีนะ
ถ้าอ้างอิงจาก ใช้ชีวิตอยู่บน Bitcoin เราจะสามารถเก็บความมั่งคั่งใน Bitcoin แม้ยามจำเป็นต้องการใช้เงินแต่ช่วงนั้นราคาตก เราก็ไม่จำเป็นต้องขาย แต่เอา Bitcoin ไปค้ำแล้วกู้ออกมา พอราคาขึ้นก็ค่อยขายเพื่อใช้หนี้ แบบนี้จะเท่ากับเราแทบไม่มีโอกาสขาดทุนเลย และยังพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อีกด้วยอย่างกรณีที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี่แหล่ะ
ทั้งหมดนี้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกต่างๆ ที่สามารถใช้งานได้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่เราไม่อยากให้เกิด ก็คือโดนอายัดบัญชีนะครับ ยังไงเราก็ต้องเอาตัวรอดกันต่อไปให้ได้ก่อน แล้วค่อยๆแก้ไขทีละปัญหาไปเรื่อยๆ
สุดท้าย ถ้าเราได้เตรียมตัวแล้ว แต่ว่าไม่เกิดสถานการณ์เหล่านี้กับเราจริงก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก เหมือนเราได้ซื้อประกันแล้วเพื่อความอุ่นใจ กินอิ่มนอนอุ่น เท่านั้นแหล่ะครับ