ใช้ชีวิตอยู่บน Bitcoin

เดิมที Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อถูกใช้เป็นเงิน โดยมีคุณสมบัติต่างๆที่เทียบเคียงได้กับเงินตราที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการโอนได้ด้วยความรวดเร็ว ค่าธรรมเนียมในการโอนที่ถูก (ถ้าได้ใช้งาน Lightning Network ในปัจจุบัน) ที่เหนือกว่านั้นก็คือการรักษามูลค่า และการมีพฤติกรรมที่เป็นเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อ ดังนั้นเราก็สามารถมอง Bitcoin เป็นเงินสดก็ได้เช่นกัน 

แม้ว่าจะเข้าใจอย่างนั้นได้ แต่เรายังอาศัยอยู่ในโลกปัจจุบัน ที่จำเป็นต้องใช้เงินตราที่แต่ละประเทศได้กำหนดขึ้นมา เพื่อใช้ชำระหนี้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ Bitcoin ยังไม่ใช่ในตอนนี้ แล้วเราจะใช้ชีวิตโดยเก็บมูลค่าใน Bitcoin ได้อย่างไรล่ะ? 

เนื้อหานี้ผมจึงจะมาเล่าให้ฟังว่าเราสามารถเก็บเงินสดในรูปแบบของ Bitcoin พร้อมทั้งยังสามารถใช้ชีวิตบนเงินบาทได้อย่างไร รวมทั้งเราจะมีประโยชน์ที่เหนือกว่าการเก็บเงินสดในรูปแบบของเงินที่รัฐบาลประเทศต่างๆได้กำหนดขึ้นมาใช้อย่างไรบ้าง เพื่อการใช้ชีวิตอยู่กับ Bitcoin ได้ในระยะยาว

เงินที่รัฐบาลประกาศใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย

ขอย้อนไปสักเล็กน้อย เงินที่รัฐบาลประกาศให้ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ก็คือสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ อย่างประเทศไทยก็คือ เงินบาท และจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าโลกของเราจะมี Cryptocurrency แล้วก็ตาม หน่วยงานที่ดูแลกำกับตรงนี้ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทยยังไม่อนุญาตให้ใช้ Cryptocurrency ที่เป็นไปในลักษณะชำระหนี้ตามกฎหมายได้แทนเงินสดหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า mean of payment (MOP)

แต่ถึงอย่างนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ทำได้เพียงแค่ออกหนังสือเตือนว่าให้ระมัดระวังการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของ Main of payment ซึ่งจะขัดต่อพระราชบัญญัติ พรบ เงินตรา ปี 2501 มาตรา 9 (เก่ามากทีเดียว)

ในเมื่อเรายังอยู่กับชีวิตที่จำเป็นจะต้องใช้เงินบาท ตามที่รัฐบาลประกาศเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ ดังนั้นเราต้องมีวิธีการแปลงระหว่างเงินบาทและ Bitcoin ให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกและถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งเทคนิคพิเศษ เพื่อทำให้เราอยู่ได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย จนกว่าวันที่เราจะมี Bitcoin Standard (จับจ่ายใช้สอยบน Bitcoin แทนเงินทั้งหมด)

การแปลงระหว่าง เงินบาท และ Bitcoin

วิธีที่ถูกต้องตามกฎหมาย 100% ก็คือการใช้เงินบาทเพื่อซื้อ bitcoin ผ่าน Exchange, Broker, Dealers ที่ทางก.ล.ต. ได้ให้อนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทย ซึ่งมีรายชื่อดังที่ปรากฏบนหน้าเว็บของ กลต เองดังนี้ https://www.sec.or.th/digitalasset#list 

ซึ่งเว็บตามที่กลต. ได้อนุญาตนั้นก็สามารถซื้อและขาย bitcoin ด้วยรูปแบบของเงินบาทโดยตรงได้เลยทันทีก็คือมีเงินบาทสามารถซื้อ bitcoin เก็บเอาไว้ได้และสามารถขาย bitcoin กลับมาเป็นเงินบาทและโอนเข้าบัญชีเราได้ทันทีกระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีในสถานการณ์ที่ปกติดังนั้นโดยทั่วไปเราจะมีเงินโอนเข้าบัญชีได้หลังจากที่สั่งขายในเวลาไม่เกิน 30 นาทีซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานมากเมื่อเทียบกับเราจะต้องนำสินทรัพย์อื่นไปเข้าโรงรับจำนำหรือนำทองคำไปขายที่ร้าน เพียงแค่ระยะเวลาเดินทางไปที่โรงรับจำนำหรือร้านค้าต่างๆก็น่าจะเกิน 30 นาทีแล้ว 

แต่สำหรับคนที่ต้องการวิธีที่สูงขึ้นไปในการบริหารจัดการภาษีผมแนะนำให้อ่านทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับ cryptocurrency ที่ผมได้เคยเขียนบทความเอาไว้ได้ที่นี่ ภาษีกำไร Cryptocurrency DeFi ทรัพย์สินดิจิทัล Digital Asset

เทคนิคเพิ่มผลประโยชน์จากการถือ Bitcoin

หลายคนก็อาจจะสงสัยว่าถ้าเราซื้อ Bitcoin ในราคาแพง แต่ช่วงเวลาต่อมา Bitcoin ราคาตก เนื่องมาจากความผันผวนของราคา Bitcoin และไปประจบกับช่วงเวลาที่เราจำเป็นต้องการใช้เงินบาทพอดี ถ้าเราขาย Bitcoin เลยก็จะต้องขาดทุนอย่างแน่นอน เราจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร?

กระบวนการนี้เราจะต้องใช้อีกเครื่องมือหนึ่งที่เรียกว่า DeFi หรือชื่อเต็มก็คือ Decentralized Financial โดยกระบวนการอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือเรานำ Bitcoin ของเราไปจำนำเอาไว้ เมื่อเราจำนำแล้ว เราก็จะได้รับเงินสดออกมาและเราก็เอาเงินสดนั้นมาใช้ ต่อมาเราทำงานหาเงินได้เงินมา เราก็นำเงินกลับไปไถ่ถอน Bitcoin ของเราคืนกลับมา พร้อมกับจ่ายดอกเบี้ยช่วงที่เราได้จำนำเอาไว้ก็พอ

อธิบายง่ายๆเพียงเท่านี้ หลายคนก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก และความเป็นจริง ก็ง่ายๆแบบนั้นด้วย เพียงแต่ว่าการเข้าใจเครื่องไม้เครื่องมือในช่วงแรกๆอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่เมื่อเข้าใจแล้วว่าเราใช้งานยังไง ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราทำความเข้าใจว่าเราจะใช้บริการโรงรับจำนำในชีวิตจริงได้อย่างไร เมื่อเราเข้าใจว่าโรงรับจำนำใช้บริการอย่างไรมีขั้นตอนอะไรบ้าง ในครั้งต่อๆไปเราก็จะสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว 

สำหรับวิธีการ ผมอาจจะไม่อธิบายในเนื้อหานี้เนื่องจากจะทำให้เนื้อหายาวจนเกินไป แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่เว็บเราได้อธิบายมาแล้ว แม้ว่าปัจจุบันหน้าจอจะเปลี่ยนไปแต่ว่า Concept และวิธีการใช้งานยังคงเหมือนเดิม ลองอ่านเพิ่มเติม ดังนี้

  • Decentralized Financial หรือ DeFi คืออะไร
  • การจำนำและการกู้ Crypto currency https://bemyblockchain.com/venus-protocol-earn-profit-from-idle-digital-asset (เอา Bitcoin ไปฝาก และ กู้ stable coin เช่น USDT, USDC, DAI ออกมา แล้วเอามาขายผ่าน exchange, broker, dealer ที่ กลต ไทยรองรับ เป็นเงินบาทและเอาไปใช้งานตามที่เราต้องการได้เลย ต่อมา เมื่อเราทำงานได้เงินมา เราก็ซื้อ USDT, USDC, DAI ไปใช้หนี้คืนไปเรื่อยๆ จนหมดนี้ และเอา Bitcoin ที่ฝากเอาไว้กลับคืนมา)

สรุปวิธีการออม

  1. ได้รับเงินบาท เช่น เงินเดือน, รายได้, bonus ฯลฯ
  2. เอาเงินบาท ซื้อ Bitcoin ผ่าน Exchanges, Brokers, Dealers ที่ กลต รับรอง
  3. เอา Bitcoin มาเก็บใน Private wallet ของตัวเอง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด (optional แต่แนะนำให้ทำ ถ้ายอดเรามีเยอะพอ, ไม่ควรไว้ใจด้วยการเก็บไว้ใน Exchanges, Brokers, Dealers แม้ว่า กลต รับรองแล้วก็ตาม ตัวอย่าง case ความเสียหายจริง คือ กรณีของ Zipmex)

วิธีที่สรุปนี้คือวิธีการพื้นฐานที่สุดยังไม่ได้พูดถึงวิธีการชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารภาษีด้วย เพื่อให้เข้าใจโดยง่ายเอาไว้ก่อนจะได้ไม่สับสน 

สรุปวิธีการใช้เงิน

  1. นำ Bitcoin โอนย้ายไปยัง Blockchain Network อื่น ที่มีบริการ Lending Platform (เรียกให้เข้าใจง่ายๆว่าโรงรับจำนำ แต่ศัพท์มาตรฐานจริงๆคือ Lending Platform) เช่น BSC (BEP20), Ethereum, Arbitrum, Optimism ฯลฯ
  2. ฝาก Bitcoin เข้าไปใน Lending Platform ให้เกินกว่าเงินที่เราจะกู้ โดยเพิ่มอีกสัก 40% เพื่อป้องกันการโดนบังคับขายเมื่อราคา Bitcoin ตก
  3. กู้ Stable Coin เช่น USDT, USDC, DAI ออกมา 
  4. โอน Stable coin กลับมาที่ Exchanges, Brokers, Dealers ที่ กลต รับรอง
  5. ขาย Stable coin เป็นเงินบาท
  6. โอนเงินบาทเข้าบัญชี

วิธีที่เล่าให้ฟังนี้เป็นวิธีการโดยพื้นฐาน ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจอาจจะสับสน แต่เมื่อได้ทดลองใช้เครื่องมือต่างๆแล้วในกระบวนการโดยทั่วไปนับตั้งแต่การฝาก Bitcoin จนกระทั่งโอนเป็นเงินบาทเข้าบัญชี (ข้อ 2-6) จะใช้เวลาทั้งหมดไม่เกินครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพราะทุกอย่างทำงานได้อย่างรวดเร็วมากๆและเป็นดิจิตอลทั้งหมด คือมีคอมพิวเตอร์หรือมือถือที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็สามารถทำงานทั้งหมด ส่วนข้อแรกจะยากหรือง่ายก็ขึ้นอยู่กับการจัดเก็บ Bitcoin ของแต่ละคนซึ่งจะยังไม่พูดถึงในเนื้อหานี้ 

ประโยชน์ที่สำคัญจากเทคนิคที่เล่าให้ฟังข้างต้น

ผมจะใช้แนวทางทางคณิตศาสตร์และเรื่องของการเงินในการอธิบาย จะพยายามให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด ดังนี้ครับ 

เงินเฟ้อ เป็นของจริง

ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ (ประเมินว่าอายุไม่เกิน 100 ปี) ต้องได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เราเกิดแล้ว เพราะระบบการเงินที่ทุกคนใช้อยู่ เขาให้ค่านิยมเงินเฟ้อ ถึงขนาดมีคำกล่าวที่ว่า “เงินเฟ้ออ่อนๆประมาณ 2% นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจ”

เงินเฟ้อหรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ “มูลค่าของเงินที่เราใช้งานจะลดลงตลอดเวลา”

สมมุติเรามีเงิน 1 ล้านบาทเราเก็บเอาไว้อย่างดีที่สุดเช่นในตุ่ม หรือ ตู้ Safe เวลาผ่านไป 10 ปี เราจะยังมีเงิน 1 ล้านบาทเท่าเดิม แล้วมูลค่ามันจะลดลงได้อย่างไร? เรื่องนี้อธิบายได้ง่ายที่สุดก็คือเทียบราคาก๋วยเตี๋ยววันนี้ เมื่อเทียบกับราคาก๋วยเตี๋ยวเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราจะพบว่าราคาก๋วยเตี๋ยววันนี้แพงกว่า และเราก็เชื่อมั่นได้อย่างที่สุดว่าราคาก๋วยเตี๋ยวในอีก 10 ปีข้างหน้าก็จะแพงกว่าวันนี้แน่นอน (ตราบใดที่ยังให้ค่านิยมเงินเฟ้อต่อไป) ผมสมมุติให้เข้าใจตัวเลขที่ง่ายขึ้นก็คือเงิน 1 ล้านบาทเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราอาจจะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้มากถึง 50,000 ชาม เพราะในตอนนั้นราคาชามละ 20 บาท แต่ในวันนี้เงิน 1 ล้านเท่าเดิมราคา เราจะสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพียง 20,000 ชามเท่านั้นเพราะในตอนนี้ราคาก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 บาท จะเห็นว่า 1 ล้านที่เหมือนเดิม แต่ผลลัพท์ ไม่เหมือนเดิม

ผมถึงได้เน้นย้ำว่าเราไม่มีทางที่จะหนีเงินเฟ้อได้ เพียงแต่ว่าในแต่ละช่วงเศรษฐกิจก็อาจจะมีเงินเฟ้อมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปเท่านั้น ถ้าเราเคยได้ยินว่า “เงินฝืดเป็นเรื่องที่ไม่ดี” นั่นแหละคือคำพูดที่เขามักจะใช้กันทำให้เรากลัวเงินฝืดและชอบเงินเฟ้อ แต่เขาไม่เคยอธิบายต่อ ว่าเงินเฟ้อเนี่ยทำร้ายเราอย่างไรตามที่ผมได้ยกตัวอย่างในราคาก๋วยเตี๋ยวนั้น (ลองคิดถึงราคาสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ก๋วนเตี๋ยวก็ได้ ในระยะยาว ก็เป็นแบบนี้หมด)

หนี้จะลดมูลค่าลงเมื่อเวลาผ่านไป

เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าเงินเฟ้อทำให้มูลค่าของเงินลดลง ในทางเดียวกันถ้าเรามีหนี้และปล่อยให้เวลาผ่านไปก็จะหมายความว่าหนี้ของเราจะมีมูลค่าลดลงด้วยเช่นกัน

ย่อหน้าบ่นอาจจะทำให้รู้สึกสับสนเพราะตามที่เราเข้าใจก็คือเวลาเรากู้เงินมาซื้อบ้า เมื่อเราผ่อนไปนานๆเราจะพบว่าดอกเบี้ยโดยรวมจะทำให้ราคาบ้านนั้นสูงขึ้นกว่าที่เราใช้เงินสดซื้อมากมายถึง 2 เท่าเลย นั่นแปลว่าหนี้ต้องเพิ่มขึ้นสิ จะลดลงได้อย่างไรกัน?

เพื่อความเข้าใจ ก็จะยกตัวอย่างที่คล้ายเดิมอีกครั้ง แต่กลับกันคือ เป็นหนี้แทน

สมมุติว่าเรามีหนี้ 1 ล้านบาท โดยกำหนดให้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 0% ต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี ตัวเลขหนี้เราจะเท่าเดิม คือ 1 ล้านบาท แต่ มูลค่าจะลดลง โดยมูลค่าของหนี้ที่ลดลงก็ย้อนขึ้นไปเทียบกับราคาก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ โดยอิงว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราสามารถหาเงินได้ 100,000 บาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับ เราสามารถหาเงินได้พอซื้อก๋วยเตี๋ยวจำนวน 5,000 ชามที่ราคาชามละ 20 บาท ในอีก 10 ปีต่อมา ถ้าความสามารถในการหาเงินของเรายังเท่าเดิม โดยเทียบกับจำนวนก๋วยเตี๋ยว 5,000 ชามต่อปี แต่ปัจจุบันชามละ 50 บาท เมื่อกดเครื่องคิดเลขแล้วก็จะเท่ากับว่าปัจจุบันเราสามารถหาเงินได้ปีละ 250,000 บาท นั่นเอง

จากตัวเลขข้างบน เราจะได้ว่า เดิม เรากู้เงิน 1 ล้าน หาเงินได้ 1 แสน ต้องใช้เวลา 10 ปี ถึงจะผ่อนหมด แต่ว่า ถ้าเราไม่ผ่อนเลย และรอเวลาอีก 10 ปีข้างหน้า ค่อยเริ่มผ่อน ในตอนนั้น เรามีเงินได้ ปีละ 250,000 บาท จะใช้เวลา 4 ปีเท่านั้น ก็จะผ่อนได้จนหมด ทั้งที่หนี้ 1 ล้านเท่าเดิมเลย

ด้วยพลังของเงินเฟ้อจึงทำให้เราหาเงินที่เป็นตัวเลขได้มากขึ้นโดยที่ความสามารถในการหาเงินเรายังเท่าเดิม คือประมาณ ก๋วยเตี๋ยว 5,000 ชามต่อปี

ใครที่อ่านครั้งแรกอาจจะสับสนมากๆ แต่ผมอยากให้ลองค่อยๆอ่านและทำความเข้าใจ รวมทั้งอาจจะเขียนออกมาตามความเข้าใจของตัวเองบนกระดาษ เพื่ออธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง และเราก็จะเห็นว่าเงินเฟ้อทำงานทั้งกับราคาสินค้า เงินเดือนและหนี้ด้วยในรูปแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่ทำให้สมการนี้ ไม่เป็นจริง ในชีวิตจริง ก็คือ ดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะถ้าเราทำงานแล้วเงินเดือนโตน้อยกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ เราจะเริ่มติดลบนั่นเองครับ แต่เดี๋ยวเราจะอธิบายต่อ ว่าเรื่องก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น

เอาความเข้าใจมาใช้จริง

เมื่อเราเข้าใจความเป็นจริงของระบบการเงินที่เราใช้กันมาทั้งชีวิตตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วใน 2 หัวข้อข้างบนตอนนี้เราจะนำความจริงสิ่งนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ 

โดยผมจะอธิบายไล่หัวข้อไปเรื่องๆ และ จะมีตัวอย่าง ที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆเลยนะครับ ทีละขั้นตอน เพื่อให้เข้าใจเลขตัวอย่างด้วย

เก็บความมั่งคั่งใน Bitcoin

ก็คือการที่เราทำงานแล้วได้เงินมาไม่ว่าจะเป็นเงินที่จากรายได้ประจำรายได้เสริมหรือว่าโบนัสเราจะเปลี่ยนจากเงินเหล่านั้นให้ไปอยู่ในรูปของ Bitcoin

สาเหตุที่เราเก็บเอาไว้ในรูปของ Bitcoin ก็มีความคล้ายคลึงกับการเก็บเอาไว้ในรูปแบบของทองคำ เพราะสินทรัพย์ทั้งสองสิ่งนี้สามารถเก็บรักษามูลค่าในระยะยาวได้เป็นอย่างดี แต่ Bitcoin จะมีความเหนือชั้นมากกว่านั้นในหลายแง่มุม ซึ่งได้เคยอธิบายเอาไว้แล้ว ในเนื้อหา หัวข้อ “ไม่สามารถเป็นเครื่องมือรักษามูลค่า (Store of Value)” ของเนื้อหา Understanding Bitcoin: Challenges and Misconceptions ปัญหาของ Bitcoin (และคำอธิบาย) Episode 1

ใช้เงิน โดยการเป็นหนี้

เมื่อเรามีความจำเป็นจะต้องใช้เงินเราจะไม่ขาย Bitcoin ที่เราได้เก็บเอาไว้แต่ว่าเราจะนำ Bitcoin ไปจำนำและกู้เงินออกมาใช้ตามที่เล่าให้ฟังข้างต้นซึ่งแน่นอนว่าการจำนำและเอาเงินออกมาใช้นั้นเราจำเป็นจะต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย 

ซึ่งจากที่ผมได้ติดตามตลาดของ DeFi มานานหลายปีก็จะพบว่าเฉลี่ยแล้วดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายจากการจำนำจะอยู่ประมาณ 5-6% ต่อปีโดยคิดจากค่าเฉลี่ยระยะยาว ผมกำหนดให้เป็น 6% ต่อปี เพื่อให้เราเข้าใจกันได้ง่ายมากขึ้น

(1) ปล่อยให้หนี้ลดมูลค่าลง

และเมื่อเรากู้เงินมาใช้ เมื่อเวลาผ่านไปหนี้จะลดมูลค่าโดยตัวมันเองจากสิ่งที่เรียกว่าเงินเฟ้อ(ตามที่อธิบายไปในเนื้อหาข้างบนว่าทำไมหนี้ถึงลดลง) เงินเฟ้อที่ผมกำลังพูดถึงนั้นอาจจะมีความแตกต่างจาก CPI ที่หลายท่านรู้จักหรืออัตราเงินเฟ้อที่รัฐบาลประกาศ เพราะว่าถ้าเรามองไปที่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในชีวิตจริงเราจะพบว่าราคาเพิ่มสูงขึ้นสูงกว่าราคา CPI ที่รัฐบาลประกาศอย่างรู้สึกได้ ในประเด็นนี้ผมจะยังไม่พูดถึงว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น แต่ผมจะอ้างอิงจากราคา เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริงโดยอิงจากการคำนวณบนราคาอาหารและสินค้าต่างๆที่จำเป็นในชีวิตประจำวันย้อนหลังไปนานหลายสิบปี ทำให้ผมพบว่าตัวเลขเงินเฟ้อนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 4.6% ต่อปี

เมื่อเราได้เลขเงินเฟ้อ เราก็เข้าใจได้เลยง่ายๆว่า เรากู้มาเป็นหนี้เขาและต้องชำระดอกเบี้ย 6% ต่อปี แต่ด้วยเงินเฟ้อประมาณ 4.6% ต่อปี ถ้าความสามารถในการหาเงินของเราอย่างเท่าเดิมเราจะพบว่า เราจะต้องจ่ายดอกเบี้ยคืนเป็นตัวเลขที่แท้จริงก็คือ 6-4.6= 1.4% ต่อปี

ถ้าผมพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเวลาเรากู้เงินเพื่อมาใช้ในชีวิตประจำวันแล้วราคาสินค้าและบริการที่เราได้ใช้ไปเหล่านั้นจะมีราคาแพงขึ้นไป 1.4% ต่อปีจากราคาที่เราเห็นตามป้ายนั่นเอง ไม่ใช่ 6% ตามยอดดอกกู้ที่ระบุ

(2) ความสามารถในการหาเงินเพิ่มขึ้น

ในชีวิตจริงเราจะพบว่า เงินเดือนเราเพิ่มขึ้นทุกปี (ส่วนนึงเพราะเงินเฟ้อ ส่วนหลักคือการเติบโตในหน้าที่การงาน) นั่นหมายความว่าเราจะได้รับเงินเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ผมพูดให้เข้าใจง่ายๆเลยคือเรามีต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 6% ต่อปี คือดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายจากที่อธิบายในย่อหน้าบน แต่เราทำงานเก่งขึ้นหาเงินได้มากขึ้นเกินกว่า 6% ต่อปี ส่วนต่างที่เกินกว่านั้นคือส่วนต่างที่จะเริ่มไปลดทอนหนี้ที่เราได้เคยกู้มา ผมยกตัวอย่างว่าเงินเดือนเราโตขึ้น 7.5% ต่อปี หมายความว่าคนที่มีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน ผ่านไป 1 ปี เงินเดือนเราจะขึ้นมา เป็น 32,250 บาทต่อเดือน ถ้าเป็นกรณีแบบนี้ เราจะพบว่าเราเริ่มมีเงินมากขึ้นกว่าดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายอยู่ 6-7.5=-1.5% ต่อปี

ตัวเลข -1.5% ต่อปี หมายความว่าเป็นตัวเลขเงินเกินที่เราสามารถหาได้เกินกว่าการเติบโตของหนี้ที่เราเคยกู้มาใช้ หรือก็คือยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ต้นทุนที่เราเคยกู้มาใช้ก็จะลดลงไปเรื่อยๆอยู่ที่ 1.5% ต่อปี สมมุติว่าเรากู้มา 100,000 บาท เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี เราจะมีเงินเกินจากความสามารถในการทำงานของเราที่เพิ่มขึ้น (เงินเดือนเพิ่มขึ้น) จนมาลดทอนมูลค่าหนี้ได้อยู่ที่ 1,500 บาทต่อปี ซึ่งเอาไปลดหนี้ลง หรือ เอาไปเพิ่ม Bitcoin ก็ได้

อีกเช่นเดิมผมจะพยายามอธิบายเป็นตัวเลขที่ไล่ลงมาเรื่อยๆจากย่อหน้าบ่นๆ ดังนั้นถ้าใครยังไม่เข้าใจในย่อหน้าไหนอาจจะลองทบทวนในย่อนั้นๆให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยอ่านลงมาเรื่อยๆก็จะเข้าใจมากขึ้นว่าระบบการเงินนั้นทำงานอย่างไรและดอกเบี้ยรวมถึงเงินเฟ้อมีการหักล้างกันได้อย่างไร

ผมยกผลประโยชน์ว่า เงินเดือนที่เพิ่มขึ้น ได้รวมเงินเฟ้อเข้าไปแล้วด้วยนะ เลยแยกเป็นข้อ (1) และ (2) เพื่อให้มี 2 มุมมองที่แตกต่างกัน เลยไม่ลบซ้ำซ้อนสองครั้ง ถ้าเงินเดือนเราเพิ่ม โดยยังไม่รวมเงินเฟ้อ เราจะพบว่า 6-4.6-7.5 = -6.1% หรือ เงินที่กู้มามูลค่าลดลงเร็วถึง 6.1% ต่อปีเลย

ถ้าอ่านจนถึงตรงนี้แล้วและเข้าใจทั้งหมดตามที่ผมได้อธิบายมาคุณก็น่าจะเข้าใจแล้ว ว่าการมีชีวิตอยู่บนหนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เสมอไป “ถ้าเราสามารถบริหารจัดการได้อย่างถูกต้อง และเข้าใจจริงๆ” อย่างที่ผมพูดว่าครั้งแรกการทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้อาจจะเข้าใจยากสักหน่อยแต่เมื่อเราเข้าใจแล้วเราจะเห็นการทำงานของระบบการเงินเป็นอีกแบบหนึ่งและที่ผมพูดมาทั้งหลายเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวันและไม่ใช่ท่ายาก เพราะกระบวนการที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้สถาบันการเงินใหญ่ๆเขาก็ทำกันมานานเป็นสิบๆปีแล้วแต่ด้วยระบบ DeFi ในปัจจุบันทำให้เราซึ่งเป็นรายย่อยมีสิทธิ์ที่จะทำในแบบเดียวกันอย่างที่เขาทำกันได้

ถ้าคิดว่าหนี้ที่ลดลงปีละ 1.5% นั้นดีมากแล้วแต่ในชีวิตจริงยังมีเรื่องที่ดีมากกว่านั้นอีก 

ราคาที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin

ในระยะยาวซึ่งระยะยาวที่ผมพูดถึงนี้จะต้องไม่น้อยกว่า 5 ปีราคาของ Bitcoin มีแนวโน้มและทิศทางเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ผมอธิบายแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะว่าความเชื่อในทิศทางขาขึ้นของราคา Bitcoin แต่เพียงอย่างเดียว แต่ด้วยหลักการกลไกและการทำงานรวมทั้งจำนวนที่มีจำกัดของ Bitcoin อยู่ที่ 21 ล้านเหรียญได้สร้างสินทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นเงินฝืดขึ้นมาโดยธรรมชาติ และเมื่อสินทรัพย์ที่มีลักษณะเป็นเงินฝืดก็จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นในระยะยาวตามกลไกที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความโลภและความกลัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอดีตที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างดีว่า มนุษย์ก็ยังคงมีความโลภและความกลัวอยู่เสมอ 

ดังนั้นในระยะยาวราคา bitcoin ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากปริมาณที่มีอยู่จำกัดและความต้องการที่คงที่หรือเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าความมั่งคั่งที่เราเก็บเอาไว้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยหรือในอีกในหนึ่งก็คือ

สมมุติว่าวันนี้เรามี Bitcoin ที่สามารถใช้ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้จำนวน 5,000 ชามแต่เมื่อเวลาผ่านไปจำนวน Bitcoin ที่เรามีอยู่เท่าเดิมแม้ว่าเราไม่เก็บเพิ่มเลยก็ตามอีก 10 ปีข้างหน้า อาจจะซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ถึง 50,000 ชาม ตามกลไกการขึ้นของราคาและความฝืดของ Bitcoin ที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้ว ซึ่งในรายละเอียดว่าเพราะอะไรและมีเหตุผลอะไรบ้างผมจะยังไม่เล่าที่ตรงนี้เพราะเนื้อหาจะยาวมากแต่สามารถไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ในทางเดียวกันราคาที่เพิ่มขึ้นของ Bitcoin หมายความว่าความมั่งคั่งของเราเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งกำลังสวนทางกับหนี้ที่ลดลงอยู่ตลอดเวลาเราก็จะพบว่าหนี้ที่เราได้กู้มาใช้จ่ายในวันนี้ เมื่อผ่านไปอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้ามูลค่ามันจะลดลงด้วยความรวดเร็วตามย่อหน้าบนที่เราได้คำนวณไปแล้วว่าจะลดลงประมาณปีละ 1.5% และด้วยราคา Bitcoin ที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 15% เมื่อนำมารวมกันก็เท่ากับว่าหนี้เราจะลดลงไปเฉลี่ยปีละ 16.5% เลยทีเดียว

ย้ำอีกทีว่า การใช้ชีวิตอยู่บนหนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย “ตราบใดที่เรายังเข้าใจในภาพรวมและการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้อง”

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ก็น่าจะนึกออกแล้ว ว่าการมีชีวิตอยู่บน Bitcoin นั้น มีประโยชน์ และอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ในทุกสถานการณ์ และการที่เราไม่ต้องถูกบังคับขาย Bitcoin ก็จะทำให้เราสามารถทนข้ามผ่านช่วงเวลาที่ราคาผันผวนต่ำๆไปได้อย่างไม่เดือดร้อนอะไรอีกด้วย (เรามองเกมยาวๆ)

สำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจ+วินัย

ระบบการเงินในปัจจุบันและคริปโตเคอเรนซี่ทุกอย่างมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือจะต้องเข้าใจว่าสิ่งต่างๆนั้นทำงานอย่างไรมีกลไกแบบไหนเพื่อที่เราจะสามารถเลือกใช้งานเครื่องมือได้อย่างถูกต้องทุกเวลา อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ วินัย ที่จะทำให้เราจดบันทึกสิ่งต่างๆและวินัยในการติดตามความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างต่อเนื่อง เพราะในปัจจุบัน DeFi ก็ยังเป็นตลาดใหม่ที่เพิ่งเกิดมาได้ในช่วงประมาณปี 2019 – 2020 เท่านั้นแต่ถึงอย่างนั้น ก็เป็นข้อดีที่ทำให้เราได้เข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กับสิ่งที่สถาบันการเงินได้ทำกัน และเช่นกัน แม้ว่าเราจะมีเงินจำนวนไม่มากแต่เราก็สามารถหาประโยชน์ได้อย่างที่ผมได้อธิบายไปข้างต้น 

และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีการใช้ชีวิตอยู่บน Bitcoin ที่ยังอยู่บนโลกความเป็นจริงในวันที่ Bitcoin ยังไม่สามารถใช้เป็นเงินตราที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ใครจะไปรู้อนาคตอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ดังนั้นเราจำเป็นต้องติดตามความคืบหน้าและการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต่อไปแต่ในระหว่างนี้ส่วนตัวผมเองมองว่านี่คือวิธีที่ลงตัวที่สุดครับ

เทคนิคพิเศษที่สูงกว่า

จะอธิบายเทคนิคต่างๆเพิ่มเติม สำหรับเพิ่มเติมผลประโยชน์ที่มากขึ้น หรือแนวทางการจัดการในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี, การกู้, platform และอื่นๆ จากประสบการณ์จริงๆที่ผมผ่านมา

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

ถ้าใครที่มีปัญหาหรือข้อสงสัยก็สามารถเข้ามาสอบถามหรือพูดคุยแลกเปลี่ยนกันใน Telegram Group https://t.me/BeMyBlockchainTalk ได้นะครับ