เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับการ vote สูงสุด (สำหรับใครที่อยากอ่านเรื่องอะไร ก็ไป vote ได้ผ่านทาง telegram กันนะครับ https://t.me/BeMyBlockchainTalk) โดยเนื้อหาตอนนี้จะมาเล่าเรื่องของ Grid trade ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งเจาะลึก ทุกแง่มุม เพื่อให้เข้าใจจุดเด่น และ ข้อด้อย ในภาพรวม เพื่อจะได้เข้าใจเครื่องมือ และความเหมาะสมในการเลือกไปใช้งานได้อย่างถูกต้องด้วย ซึ่งเนื้อหาผมจะแตกต่างจากคนอื่นอย่างแน่นอน เพราะไม่ได้ขายของ หรือมีผลประโยชน์แอบแฝง อย่างที่คนอื่นเค้าเชียร์ขายกันครับ และจะมีหลายแง่มุม ที่แม้แต่ผู้ให้บริการ เลือกที่จะไม่บอก เพราะมันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าสนใจของบริการเค้าด้วยนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ ผมจะเขียนมาจาก ประสบการณ์จริง ที่ผมได้ทำการเขียน bot ขึ้นมาใช้งานและ รันจริง เงินจริง เก็บกำไร วิเคราะห์การตั้งค่า และ การปรับตั้งระบบ ซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ 2018 จนหยุดไปประมาณ 2020 เพราะหันไปลุย DeFi เต็มตัว ก่อนจะกลับมาเขียน bot ใหม่อีกครั้งตอนปี 2023 นี้เอง ถ้านับเป็น version ก็เป็น version ที่ 3 ได้แล้วครับ และทุก version ผมจะเขียนใหม่ทั้งหมด ทำให้แต่ละครั้ง จะมองเห็นมุมมองต่างๆ ที่แตกต่างกันไป โดยเสริมจุดแข็งจากรอบก่อนๆเข้ามาทุกครั้ง ดังนั้น ผมจึงสามารถให้มุมมองได้ละเอียดแน่นอน

Grid trade คืออะไร

เป็นวิธีการซื้อ และ ขาย รูปแบบหนึ่ง ที่มีเงื่อนไข ข้อกำหนด แบบชัดเจน ตายตัว ไม่คลุมเคลือ ใครๆก็สามารถทำตามได้เลยทันที ทำกับ assets ใดก็ได้ ตราบใดที่มีความเคลื่อนไหวของราคา และ ผลลัพท์ ก็ชัดเจน แบบตรงไปตรงมา ไม่มีผิดเพี้ยนหรือบิดเบี้ยวไปได้ ดังนั้น ถ้าคุณเข้าใจหลักการทำงานของมันแล้ว สามารถเริ่มได้ทันทีเลย โดยแทบไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรให้ยุ่งยากเลย

Grid trade ทำงานอย่างไร

หลักที่สำคัญ ต้องท่องให้ขึ้นใจ มีดังนี้ครับ

1. แบ่งราคาเป็นส่วนๆ จากกรอบราคา ซึ่งจะแบ่งช่วงราคาเท่าไร ก็แล้วแต่เราเลยนะครับ โดยปกติ เค้าจะใช้ ช่วงที่ห่างเท่ากันซึ่งอาจจะเป็นตัวเลขราคาตายตัว เช่นห่าง $10000 หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ห่างตายตัวก็ได้ เช่น 10%
2. ซื้อ เมื่อราคาอยู่ด้านล่าง
3. ขาย เมื่อราคาอยู่ด้านบน
4. อย่าซื้อจุดที่ซื้อมาซ้ำ (เว้นแต่ว่าจุดนั้นขายออกไปแล้ว)

จบครับ แค่นี้เลย หลักการง่ายมากๆ หลักการมีเท่านี้จริงๆ

อธิบายเพิ่มเติม ได้ดังนี้ครับ

• กำหนดให้ P0 ไล่ไปจนถึง P5 คือ ระดับ ราคาของสินทรัพย์ ผมยกตัวอย่างคือ BTCUSDT โดย P0 = $10,000 , P1 = $20,000 ไล่ไปจนถึง P5 = $60,000 เป็นไปตามกฏข้อแรก
• เริ่มต้นคือที่ P0 เราจะต้องซื้อ 5 ส่วน คือเป็นตัวแทนของราคา P0 ถึง P4 ส่วน P5 นั้นเราจะไม่ซื้อเพราะเป็นจุดที่เอาไว้ขายเป็นจุดสุดท้าย โดยใช้เงินซื้อจำนวน $1,000 * 5 (จะได้ 5000/10000 = 0.5 BTC) เป็นไปตามกฏข้อที่สอง กรณีนี้ ก็คือเรารวบ P1 – P4 มาซื้อที่ P0 ด้วยพร้อมกันเพื่อดึงให้ราคาทุนต่ำลง
• เมื่อราคาขึ้นมาถึง P1 เราก็ขาย 0.1 BTC ที่ซื้อมาจาก P0 ตามกฏข้อที่สาม ดังนั้นเราจะได้กำไร (20,000 – 10,000) * 0.1 = $1,000 คือกำไรที่เราได้รับ
• เมื่อราคาขึ้นมาถึง P2 เราก็ขาย 0.1 BTC ที่ซื้อมาจาก P1 (โดยหลักการ) แต่ว่าเราซื้อมาจาก P0 (โดยหลักความจริง) ตามกฎข้อที่สาม ดังนั้น เราก็จะได้กำไร (30,000-10,000) * 0.1 = $2,000
• ต่อมา ราคาลงมาที่แนว P1 สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือ ซื้อ P1 มาเก็บเอาไว้ เพราะเราพึ่งเอา P1 ไปขายที่ P2 ในข้อบน นั่นเอง แต่ถ้าเรายังขาย P2 ไม่ออก แล้วราคาวนกลับมา P1 ก่อน ก็อย่าซื้อ เพราะเราต้องไม่ซื้อซ้ำตามกฎข้อที่สี่
• จากนั้น ราคาไปถึง P2 อีกครั้ง ก็ขายของ P1
• จากนั้น ราคาไปถึง P3 ก็ขายของ P2 ไล่ไปเรื่อยๆ จนราคาถึง P5 เราจึงขายของ P4 ซึ่งตอนนี้เราหมดมือแล้ว
• จากนั้น ราคาลงมา P4 เราก็ซื้อมาเก็บ เพื่อรอขาย P5
• จากนั้น ราคาลงมา P3 เราก็ซื้อเก็บ เพื่อรอขาย P4

ถึงจุดนี้ น่าจะเข้าใจแล้วนะครับ หลักการง่ายๆ ลงซื้อ, ขึ้นขาย วนไปเรื่อยๆเลย โดยเรากำหนดราคา และทุนเอาไว้ตายตัวแล้วนั่นเอง

หลุดกรอบ grid trade

ทีนี้ อีกสิ่งที่อยากให้เห็น ก็คือ ถ้าราคาวิ่งทะลุ P5 ไป หรือว่า วิ่งลงมาแล้วเลยต่ำกว่า P0 ไป แบบนี้เรียกว่า หลุดกรอบ ซึ่ง มันจะส่งผลที่แตกต่างกัน ผมอยากให้จำสิ่งนี้เพิ่มเอาไว้ด้วยนะครับ มันจะมีประโยชน์มากในการคิดกรอบการลงทุนครับ

หลุดกรอบล่าง

ถ้าราคาลงไป แล้วทะลุ P0 ไป สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราจะไล่ซื้อของเก็บมา จนกระทั่งมันหลุดลงไปข้างล่าง ก็คือ เรามี assets ในมือ โดยที่เราซื้อ หรือ ขาย ไม่ได้อีก เพราะไม่อยู่ช่วงราคาที่เรากำหนด และ ทุนที่เราซื้อ ก็สูงด้วย ถ้าไล่เก็บมาตั้งแต่ P4 P3 P2 P1 P0 ราคาเฉลี่ย ของ asset ในมือเราก็ประมาณ P2 เลยทีเดียว ตอนนี้ที่ราคา P0 จะขาย ก็ขาดทุนแน่นอน

หลุดกรอบบน

ถ้าราคาขึ้นไป จนกระทั่งเลยกว่า P5 ไป สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะขาย assets จนหมดมือ แล้วกลับมาถือเงินสดเต็มเท่าเดิม พร้อมกำไรจากการทำ grid trade ซึ่งจริงๆแล้ว ก็มองได้ว่าเป็น good problem ก็ได้ คือ มันเป็นปัญหาแต่ว่า ก็เป็นในด้านดี ตรงที่เราได้ขายของออกไปจนหมด และกลับมาถือเงินสดพร้อมกำไร ส่วนปัญหา ก็คือ เราก็จะไม่ได้ทำกำไรจากส่วนต่างของราคาอีกแล้ว เพราะมันเกินกว่ากรอบ ที่เราตั้งใจจะให้มันเป็นแล้วนั่นเอง

สิ่งที่จะตามมาคือ เราก็อาจจะต้องมาหา asset ตัวใหม่อีกครั้ง (หากกรณีที่ asset ตัวที่ว่านั้นไม่ได้วิ่งในกรอบ sideways อีกแล้ว)

ก่อนจะเริ่ม Grid trade

ก่อนที่เราจะเริ่มได้ อย่างถูกต้อง เราต้องเริ่มด้วยตัวเลขกันก่อนนะครับ สิ่งที่เกี่ยวข้อง จะมีประมาณนี้ในเบื้องต้น

• ลงทุนในสินทรัพย์ใด
• เงินทุนทั้งก้อน คือเท่าไร เช่น $5,000
• กรอบราคา ที่เราจะกำหนด grid คือ ต่ำสุด สูงสุด ที่ราคาเท่าไร
• จำนวนไม้ ที่เราจะซื้อ มีทั้งหมดเท่าไร

แค่นี้ เราจะเอามาใช้คำนวณได้ว่า อัตราที่ดำเนินการเป็นอย่างไร

ตัวอย่าง grid trade ช่วงกว้าง, ความถี่ห่าง

ผม กำหนดดังนี้นะครับ

• ลงทุนใน BTCUSDT
• เงินทุนทั้งก้อน คือ $5,000
• กรอบราคา ต่ำสุดที่ 15,000, สูงสุดที่ 75,000
• จำนวนไม้ที่ซื้อ 5 ไม้

ตัวอย่าง grid trade ช่วงกว้าง, ความถี่แคบ

ผม กำหนดดังนี้นะครับ

• ลงทุนใน BTCUSDT
• เงินทุนทั้งก้อน คือ $5,000
• กรอบราคา ต่ำสุดที่ 15,000, สูงสุดที่ 75,000
• จำนวนไม้ที่ซื้อ 500 ไม้ อันนี้คือความถี่แคบลงมาก

ตัวอย่าง grid trade ช่วงแคบ, ความถี่กว้าง

ผม กำหนดดังนี้นะครับ

• ลงทุนใน BTCUSDT
• เงินทุนทั้งก้อน คือ $5,000
• กรอบราคา ต่ำสุดที่ 25,000, สูงสุดที่ 35,000
• จำนวนไม้ที่ซื้อ 5 ไม้

ตัวอย่าง grid trade ช่วงแคบ, ความถี่แคบ

ผม กำหนดดังนี้นะครับ

• ลงทุนใน BTCUSDT
• เงินทุนทั้งก้อน คือ $5,000
• กรอบราคา ต่ำสุดที่ 25,000, สูงสุดที่ 35,000
• จำนวนไม้ที่ซื้อ 500 ไม้

สรุป ข้อดี ข้อเสียการวาง grid รูปแบบ ต่างๆ

ยกมาสรุปเป็นตาราง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้นนะครับ ดังนี้

บัญชีคือเรื่องที่สำคัญมากที่สุด

Grid trade ไม่ใช่ระบบ ที่เน้นที่กำไร

Grid trade เพื่อ cash flow เป็นเรื่องหลัก

ผู้ให้บริการ Grid trade มี มากมายและใช้ได้ฟรี

กรอบการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญ

ประสิทธิภาพเงินทุนค่อนข้างต่ำ

คาบเวลา ก็เป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณา

ผลตอบแทนช่วงแรกจะหลอกตา

เทคนิค

เนื่องจาก ผมมีเวลาอยู่กับระบบนี้ และ คิดเกี่ยวกับระบบนี้เยอะมาก ทำให้เห็นหลายแง่มุม เรียกได้ว่า น่าจะครอบคลุมทุกสถานการณ์ได้แล้ว จึงสามารถเอามาแชร์กันได้ ซึ่งจะเป็นเทคนิคทั้ง เพิ่มกำไรให้มากขึ้น หรือว่า จะช่วยให้ยืนระยะได้นานมากขึ้น หลายแบบเลยครับ

สรุป

Grid trade เป็นการกำหนด กรอบการซื้อขาย ของราคาเอาไว้ โดยเราแบ่งส่วนเป็นส่วนย่อยๆ จากกรอบราคานั้น ตราบใดที่ราคาไม่หลุดจากกรอบที่เรากำหนด เราจะได้กำไรที่เกิดจากส่วนต่างของราคาที่เคลื่อนที่นั้นเสมอ

ถ้าหลุดกรอบล่าง จะเกิดผลเสีย คือ ราคาสินทรัพย์ที่ซื้อมา จะติดมือไปจนกว่าจะกลับเข้ามาในกรอบ ถ้าเราต้องการใช้เงินระหว่างนั้นทำให้ต้องขายออก จะเกิดการขาดทุนทันที

ถ้าหลุดกรอบบน จะเกิดกผลเสียคือ เราจะเหลือเงินสดในมือ ที่ไม่ได้สร้าง cash flow จาก grid ต่อแล้ว

ผมคงตอบไม่ได้ว่ามันดีมั้ย เหมาะสมที่จะใช้หรือเปล่า หากแต่ละคน ต้องพิจารณา เพื่อทำความเข้าใจได้ด้วยตนเองครับ ว่ามันเหมาะกับตัวเรามั้ย นี่คือสิ่งที่สำคัญมากที่สุด และเป็นสิ่งแรกสุด ก่อนที่จะเลือกกลยุทธ์ด้วยซ้ำไปครับ