เงินแข็ง เงินอ่อน และอำนาจของเงิน

เชื่อผมได้อย่างนึง ว่ากรอบความคิดเรื่องเงินของคนส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ซึ่งผลกระทบมันคือ เรากำลังจนลง โดยที่เราไม่รู้ตัว และอนาคตที่ไม่แน่นอน อาจจะทำให้ความตั้งใจของคนส่วนใหญ่ ที่ทำงานเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต แต่กลับพบว่า แทบจะไม่พอใช้ในตอนบั้นปลายของชีวิตเลยก็เป็นได้ ผมไม่ได้กล่าวเกินจริง เมื่ออ่านเนื้อหานี้ทั้งหมดจนจบ ก็จะเข้าใจ ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเป็นแบบนั้น และผมจะมีแนวทาง เพื่อแก้ไขปัญหาแต่ละเรื่องไว้ด้วย เพื่อให้สามารถเรียนรู้และปรับใช้กันให้เหมาะสมสำหรับแต่ละคนได้

เรารู้จักเงินดีแล้วหรือยัง

เรื่องพื้นฐานที่สุด แต่หลายคนไม่เข้าใจแต่ถ้าเราเข้าใจ เราจะคิดต่อยอดต่อได้ง่ายมาก

ขอให้คิดถึงเรื่องพื้นฐานที่สุด คือการมีปฏิสัมพันธ์กันคนอื่น ทำให้เราช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ อันเนื่องมาจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม

แต่ความเป็นจริง การเกื้อกูลนั้น ใช้ความโอบอ้อมอารีแต่เพียงอย่างเดียวตลอดไปไม่ได้ เพราะมนุษย์มีความเอาเปรียบกันอยู่ในสันดาน รวมถึงสัญชาติญาณ การเอาตัวรอด หรือก็คือความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ (เรื่องนี้ ถ้าใครได้เคยดูหนังหลายๆเรื่อง ที่ตีแผ่สันดานดิบ การเอาตัวรอดของมนุษย์ จะเข้าใจ อย่างผมที่เคยดู The 100 ใน Netflix นี่คือแบบ อื้อหือเลย คือถ้าเราลดความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบกันลงได้ หนังเรื่องนี้จะน่าเบื่อลงไปทันที)

ดังนั้น จึงต้องเกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม เพื่อให้เสมอภาค คือ เรามีของชนิดหนึ่ง เช่นปลา แต่ต้องการได้ของอีกชนิดหนึ่ง เช่นผัก ถ้าเราไม่ปล้น หรือขโมย และไม่สร้างขึ้นมาเอง เราก็ต้องเอาของที่มีไปแลกเปลี่ยน เพื่อให้เพียงพอต่อขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของเราเอง และนี่ ก็คือ กิจกรรมแรกสุด ที่เกิดขึ้นในโลกของเรา เราเรียกสิ่งนี่ว่า Barter ก็คือ เอาสิ่งนึง และเปลี่ยนกับอีกสิ่งหนึ่งตรงๆเลย

เรายังไม่พูดถึงขั้นเก็บสะสมก็แล้วกัน เพราะนั่นคือเกินกว่าพอใช้ พอกิน ซึ่งจะต้องมีความโลภเป็นแรงผลักดันต่อ

ต่อมา ความขี้เกียจของคนเรา ก็พบว่า การแลกของมันไม่สะดวก ทั้งไม่สะดวกตอนแลก ตอนขนย้าย จัดเก็บ จึงพัฒนาตัวแทน “มูลค่า” มาใช้แทนการแลกของตรงๆ โดยเค้าคิดว่า มันน่าจะสะดวกมากกว่า ก็เริ่มเกิด Commodity Money ขึ้นมา สิ่งนี้ ถ้าให้นึกภาพง่ายๆ มันคือ ทองคำ พลอย หรือ ข้าว เกลือ ที่เมื่อก่อน ยังไม่มีการทำการเกษตรขนาดใหญ่ จึงถือว่าเป็นของที่หาได้ยาก และมีราคา อีกทั้ง มันสามารถเก็บรักษาได้ ดี ขนย้ายได้ง่าย ก็ถือว่าตอบโจทย์มากทีเดียว ส่วนประเทศไทยเอง ก็เคยเอาเปลือกหอยมาทดแทนเงินด้วยเช่นกัน

ต่อมา ก็เริ่มมีการควบคุมเงิน เพราะไม่อย่างนั้น ใครก็สามารถขุดเปลือกหอยมาเป็นเงิน ปลูกข้าวก็เป็นเงินได้ ก็เริ่มมีการควบคุม โดยการสร้าง Metallic Money ขึ้นมา ก็คือเอาโลหะที่มีค่า มาทำเป็นเหรียญ แล้วก็ใช้เหรียญแทนของที่มีมูลค่าได้เลย ถ้าเราเคยเห็นการขุดสมบัติโบราณ แล้วเจอเหรียญเงิน เหรียญทอง ก็นั่นแหล่ะ มันเคยมีการใช้งานจริงๆ เหตุที่เอามาใช้ เนื่องจาก โลหะเหล่านั้น มีราคาในตัวมันเองอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาตีราคาให้มัน ดังนั้น ใครที่ได้ครอบครอง ก็เหมือนกับได้ครอบครองโลหะมีค่า แต่เมื่อใช้ไป มันก็มีคนหัวใส ในการเอาเหรียญ ไปขัดหรือฝนเอาเนื้อโลหะออกไปบางส่วน แล้วก็เอาเหรียญที่ถูกขัดไปใช้ตามปกติ (เพื่อเอาเศษที่ได้จากการขัดไปหลอมรวมเป็นโลหะ เพิ่มขึ้นมาใหม่) ดังนั้น เค้าก็มีการพัฒนาเหรียญให้มีสันขอบ และมีรอยบากที่รอบเหรียญ เพื่อให้รู้ว่า เหรียญไหนที่ถูกขัดออกไป สัน และ รอยบากจะหายไป (และนี่คือที่มาของสันขอบและรอยบากบนเหรียญในปัจจุบัน)

ต่อมา เวลาที่มีเงินเยอะๆ เหรียญมันก็จะหนักมาก เริ่มไม่สะดวกอีกแล้ว ก็เลยเริ่มพัฒนา Paper Money หรือที่เราเรียกว่า ธนบัตร หรือ แบ้งค์โน้ต ขึ้นมา (เราเรียกสั้นๆว่า แบ้งค์) เพื่อให้เราพกพา เอาออกไปใช้กันได้อย่างสะดวกมากขึ้น แต่ว่า ในยุคนี้ การสร้าง Paper Money ขึ้นมา จะยังจำเป็นที่ต้องมีทองคำ เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าที่เท่าเทียมกัน ก่อนการสร้าง Paper Money ขึ้นมาเสมอ (Gold standard) เพื่อให้มั่นใจว่า มันมีมูลค่าที่ทัดเทียมกัน ซึ่งในยุคนั้น เราสามารถถือ แบ้งค์ เข้าไปแลกทองคำออกมาได้จริง มีร้านให้แลกอยู่ทั่วไป หรือกลับกัน ก็คือมีทอง เอาไปแลกแบ้งค์ออกมาได้

ต่อมา 1930 ที่ผ่านมานี่เอง (เริ่มเข้าสู่ปัจจุบันมากขึ้น) ประเทศอังกฤษ ก็เป็นประเทศแรกที่ยกเลิก Gold standard หมายความว่า เงินที่หมุนเวียนในระบบ ไม่จำเป็นต้องมีทองคำค้ำประกันมูลค่าอีกต่อไป รวมถึง 1933 USA ก็เลิกกับเค้าด้วย และในอีกหลายๆประเทศ ก็ไล่ๆ ยกเลิก Gold standard กันมาเรื่อย จนลาขาดครั้งสุดท้ายกันที่ 1971 ที่ USA ยกเลิก Gold standard และประกาศว่าไม่สามารถเอา Paper Money มาแลกเป็นทองได้อีกต่อไป (หมายถึงแลกตรงๆ ด้วยมูลค่าคงที่) ดังนั้น ทุกประเทศ ก็ยกเลิก และ ไม่มีประเทศไหนในปัจจุบัน ที่ใช้ Gold Standard อีกต่อไป และนี่ คือยุคที่เรียกว่า Fiat Money นั่นเอง ซึ่งมันก็คือ ยุคการเงินในปัจจุบันเรานี่แหล่ะ

Fiat Money คือยุคที่ค่าเงินลอยตัว ไม่ได้ผูกอยู่กับทองคำ หรือ อะไรอีกต่อไป ทำให้เราไม่สามารถตรึงค่าเงินได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว และผลจาก Fiat Money นี้เอง ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา และทำให้เราต้องมาอ่านเนื้อหาในวันนี้กัน

อำนาจการซื้อ

อีกหนึ่งคำศัพท์ ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ แต่น้อยคนที่จะเข้าใจ คือ อำนาจการซื้อนี่แหล่ะ และถ้าคุณเข้าใจแล้ว ความคิดที่มีต่อเงิน ก็จะเริ่มเปลี่ยนไปด้วย

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

เงินแข็ง เงินอ่อน คืออะไร

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

ดังนั้น มันแล้วแต่มุมมอง เราต้อง definition มุมมองให้ออกก่อน ถึงจะเข้าใจเรื่อง อ่อนหรือแข็ง

อำนาจการซื้อ คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด

เมื่อเราเข้าใจที่มาที่ไปของเงิน และ อำนาจการซื้อแล้ว ที่นี้ เราคงไม่ได้สนใจหรอก มันจะอ่อนหรือแข็ง แต่เราสนใจว่า เงินในกระเป๋าเราที่มีเท่าเดิมเนี่ย มันจะซื้ออาหาร หรือ ข้าวของเครื่องใช้ จับจ่ายใช้สอยได้ลดลงมั้ย (อำนาจการซื้อ) ซึ่งเราอยากให้เรามี “อำนาจการซื้อ” ที่เท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป

ดังนั้น เราก็ต้องเก็บ “อำนาจการซื้อ” อยู่ในทรัพย์สินที่มันจะเพิ่มมูลค่าได้เมื่อเวลาผ่านไป (หรืออย่างน้อยที่สุด มันต้องไม่ลดมูลค่า เมื่อเวลาผ่านไป) นี่ไม่ใช่การเก็งกำไร แต่มันคือการรักษาอำนาจการใช้จ่าย ที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตเรา

สมมุติเคส

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

เคสตัวอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย แต่ว่าเกิดขึ้นจริงที่ประเทศอาเจนตินา ในปัจจุบันนี้ครับ จากกราฟด้านล่าง นี่ก็คือ อัตราเงินเฟ้อ ที่ล่าสุด 114.2% ต่อไปไปแล้ว เกิน 100% จากตัวอย่างไปอีก


source: tradingeconomics.com

อำนาจการซื้อของเรา ลดลงเสมอ

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

อำนาจการซื้อของเรา อยู่ตรงไหน

ถ้าเราอยากรู้ว่า อำนาจการซื้อของเรา อยู่ที่ตรงไหน สูงหรือต่ำ เรื่องนี้ อาจจะบอกได้ยาก เพราะว่า มันมีหลายปัจจัยมากๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง และการเทียบ มันต้องเทียบทุก segment ด้วย เพราะบางประเทศ ค่าใช้จ่ายด้านบริการ อาจจะถูก แต่ว่าค่าน้ำมันเราแพง เป็นต้น

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

การรักษาอำนาจการซื้อ ในระยะยาว

นี่น่าจะเป็นคำถามที่สำคัญที่สุด หลังจากที่เข้าใจเรื่องของเงินมาแล้ว คือ เราจะรักษาอำนาจการซื้อได้อย่างไรล่ะ?

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

ขอให้เราคิดเอาไว้เสมอ ว่าเรากำลังทำมัน เพื่ออะไร ทำเพื่อใคร เป้าอยู่ที่ไหน เพื่อใช้มันเป็นแรงผลักดันในตอนที่เราเบื่อหน่าย หรือรู้สึกเหนื่อยที่ต้องบริหารจัดการมันครับ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไร หรือ เน้นเก็บเงินสุด ท้ายที่สุด อำนาจการซื้อเราก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไปนั่นเอง

สินทรัพย์ที่ช่วยรักษาอำนาจการซื้อ

จริงๆ มีหลายอย่างครับ แต่ต้องไม่ลืมเป้าหมาย เพื่อรักษาอำนาจการซื้อในระยะยาว ดังนั้น เราต้องดูว่า สินทรัพย์ใดบ้าง ที่ให้ผลตอบแทน ที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน

อัตราเงินเฟ้อปัจจุบัน และ แนวโน้ม ดูได้จาก https://www.bot.or.th/th/thai-economy/economic-outlook.html อย่างปี 2565 นี่ก็ 6.1% เลย ดังนั้น ถ้าเงินเรา เติบโตน้อยกว่า 6.1% ในปี 2565 ที่ผ่านมา ก็ให้รู้ไว้เลยว่า อำนาจการซื้อของเรา ลดลงแล้วครับ

ดังนั้น ทรัพย์สินที่จะช่วยเก็บเงิน ซึ่งให้ผลตอบแทนเกินกว่าเงินเฟ้อได้ ก็ลองเลือกดูครับ เพราะว่าแต่ละคนจะมีความชอบ และถนัดที่แตกต่างกันดังนี้

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

การทำงานหาเงิน เก็บเงิน ออมเงิน ให้ตัวเลขเพิ่มขึ้น ผมไม่เอามานับรวมนะครับ เพราะว่ามันคือ Active income ที่เมื่อเราหยุดทำ เงินก็จะหยุดเติบโตตามไปด้วย ในกรณีนี้เราพูดถึงการลงทุนอย่างเดียว แต่แน่นอน ว่าทำงานเก็บเงิน ออมเงินด้วย ลงทุนด้วย แบบนี้เป็นตัวเร่งที่เร็วมากๆแน่นอนครับ

แถม : Decentralized Exchange คือยุคเริ่มต้นของการแลกของ

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

ดังนั้นหลังจากที่เข้าใจแล้วก็ลองปรับแผนการลงทุนกันดูใหม่ คือ มีเก็งกำไรด้วย รักษามูลค่าของเงินด้วย สู้สภาวะเศรษฐกิจ สงคราม ความไม่แน่นอนต่างๆด้วย เพราะเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง อย่าประมาทก็จะดีที่สุด