ปัญหาของ Bitcoin (และคำอธิบาย) Episode 2
Episode 2
Bitcoin เป็น สินทรัพย์ดิจิทัลตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา บน Technology Blockchain ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีความแข็งแรงมากที่สุด ในหลายๆแง่มุม ทั้งในเรื่องของ Technology และขั้นตอนการทำงาน รวมไปถึง นโยบายทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง แต่อย่างไรก็ดี เรามักจะได้ยินปัญหาในแง่มุมต่างๆของ Bitcoin กันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ้างก็เป็นความเข้าใจผิดในรายละเอียด หรือ บ้างปัญหาก็เป็นการตีความผิด หรือ ยังมองไม่ครบทุกแง่มุม ดังนั้น วันนี้ จะมาอธิบายปัญหาต่างๆ ของ Bitcoin กันทีละประเด็น เพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้น รวมทั้ง ทางออก หรือ สิ่งที่ Bitcoin ได้แก้ไข หรือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าปัญหาเหล่านั้น ยังเป็นปัญหาอยู่จริงหรือไม่
โดยแนวทางของเนื้อหา ก็คือ จะขึ้นหัวข้อด้วย ปัญหา หรือ ความเข้าใจผิดต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมคำอธิบายว่าปัญหานั้นเค้ามีความเข้าใจอย่างไร หรือ ติดขัดในประเด็นใด จากนั้น หัวข้อย่อย ก็จะเป็นการอธิบาย หรือ แจงปัญหานั้น เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น
Bitcoin : หมายถึง Bitcoin network หรือ ระบบของ Bitcoin เน้นที่เรื่องระบบ
bitcoin : หมายถึง จำนวน bitcoin หรือหน่วยของ bitcoin เน้นที่เรื่องจำนวน
เนื้อหานี้ เป็น Episode ที่ 2 ต่อเนื่องจากเนื้อหาใน Episode ที่ 1 เพราะยังมีความเข้าใจผิดอีกหลายเรื่อง ที่ควรแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อความเข้าใจในสินทรัพย์ตัวนี้ให้มากขึ้น
รัฐบาลในหลายประเทศยังไม่ยอมรับให้คริปโตเคอร์เรนซีเป็นเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : การไม่ได้รับการยอมรับจากภาครัฐ และความเสี่ยงในอนาคตที่ภาครัฐต้องมีการกำกับดูแลคริปโตเคอร์เรนซีจะทำให้ต้นทุนและอุปสรรคในการใช้งานคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้น
สิทธ์ขั้นพื้นฐาน คือการแลกเปลี่ยนโดยตรง (barter)
ไม่ว่าประเทศใดก็ตามที่มีการค้าแบบเสรี จะมีการค้าแบบพื้นฐานที่ดั้งเดิมที่สุดก็คือ การ Barter (สินค้า หรือ บริการหนึ่ง แลกกับ สินค้า หรือ บริการอีกอันหนึ่ง โดยตรง ในมูลค่าที่ใกล้เคียงกัน และพึงพอใจทั้งสองฝ่าย) และหากประเทศนั้นได้กำหนดให้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์แล้ว เช่น USA , ประเทศไทย และ ประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ ประชาชน ย่อมมีสิทธ์ขั้นพื้นฐาน ในการใช้สินทรัพย์ เพื่อแลกกับสินทรัพย์อื่น เช่น Bitcoin แลกที่พัก หรือ Bitcoin แลกนาฬิกา ฯลฯ ตามที่ประชาชนต้องการได้ ซึ่งสิทธ์นี้ รัฐ ไม่สามารถริดรอนได้ เพราะการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์หนึ่งเป็นอีกสินทรัพย์หนึ่ง ก็ไม่แตกต่างจาก การใช้ ไก่แลกหมู ของคนในสมัยก่อนแต่อย่างใด และนี่ก็คือพื้นฐานของการค้าแบบเสรีนั่นเอง
การ Ban จากรัฐ ไม่ได้ทำให้ Bitcoin ตายไป
ถ้ารัฐใช้ไม้แข็ง กำหนดให้การซื้อ ขาย ครอบครอง Bitcoin เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งด้วยอำนาจของรัฐเอง ต่างสามารถทำได้ แต่นั่นจะเป็นเพียงการเอาตัวเองออกจาก Bitcoin และเป็นการพยายาม กีดกันการเข้าถึง Bitcoin ของประชาชน ซึ่งไม่สามารถทำได้โดยสมบูรณ์ เพราะระบบ Bitcoin ไม่สามารถถูกปิดกั้นได้โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะด้วยแนวทาง และ Technology อะไรก็ตาม ประชาชน ยังมีความสามารถที่จะเข้าถึง Bitcoin ของตัวเองได้อยู่เสมอ และ Bitcoin ก็ยังอยู่ใน Bitcoin network ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งโลกอยู่ตลอดเวลาอีกด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อเราเป็นเจ้าของ bitcoin ที่เราเป็นผู้ถือ private key แต่เพียงผู้เดียวแล้ว เราก็จะเป็นเจ้าของ bitcoin จำนวนนั้นตลอดไป และมีเราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเข้าถึง และ ดำเนินการใดๆกับ bitcoin นั้นๆได้ในอนาคต แม้ว่าประเทศ รัฐ หรือ หลายประเทศรวมกันก็ไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อการปิดกั้นนั้นดำเนินต่อไป นานขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดนึง ประชาชนก็จะเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่รัฐกำลังทำอยู่ว่ามีเจตจำนงค์ใดกันแน่ ทั้งหมดนั้น ทำไปเพื่อประชาชน หรือเพื่อตัวรัฐเอง ในท้ายที่สุด รัฐจะไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้นอย่างแน่อน เพราะว่าคำตอบ ก็คือเพราะต้องการควบคุม และ กำหนดให้ประชาชนเป็นทาสในระบบการเงินที่รัฐต้องมีอำนาจควบคุม และดูแลตลอดไป ไม่อยากให้มีอิสระทางด้านการเงินเป็นของตนเอง
และเมื่อถึงวันนั้น การพิจารณาย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย โดยใช้ทุนรอนจาก bitcoin ที่ได้สะสมมาก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีน้ำหนักมากขึ้น เพราะ “อิสรภาพนั้นราคาแพง”
ใช้บิตคอยน์สำหรับธุรกิจด้านมืดอย่างการฟอกเงินหรือการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : มีธุรกรรมจำนวนมาก จากเหล่า Cracker หรือ “โจร Cyber” ที่ใช้ bitcoin เป็นเครื่องมือ ส่งต่อมูลค่า ในการกระทำความผิดนั้นๆ ดังที่เราจะได้เห็นตามข่าวมาโดยตลอด รวมทั้ง ransomware ต่างๆก็ด้วยเช่นกัน ล้วนใช้ bitcoin เป็นเครื่องมือสำหรับส่งมูลค่าในการเรียกค่าไถ่สำหรับชุดข้อมูลนั้นๆ
Bitcoin ไม่ใช่สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดความผิด
โจร ก็คือ โจร การมี Bitcoin บนโลกใบนี้ ไม่ได้ช่วยให้เกิดโจรมากขึ้นแต่อย่างใด เพราะ Bitcoin ไม่เคยชี้นำให้ใครเข้ามากระทำความผิด เพื่อประโยชน์อะไร แต่กลับกัน เพราะกลุ่มโจร ที่มองเห็นว่า Bitcoin เป็นเครื่องมือสำหรับส่งมูลค่าผ่าน Internet จึงทำให้ถูกเอาไปใช้งาน ในการประกอบความผิด แต่ถ้าหากโลกนี้ไม่มี Bitcoin โจรกลุ่มนี้ก็ยังคงมีอยู่เหมือนในอดีตอยู่ดี โดยจะใช้การโอนผ่านช่องทางอื่น ไม่ว่าจะเป็น Paypal หรือ บัตรเงินสด หรือ บัตรเติมเงินต่างๆ หรือแม้กระทั่งการโอนเงินข้ามประเทศเลยก็ได้ ดังนั้น Bitcoin ไม่ได้ผิดอะไรในเรื่องนี้แต่อย่างใด
โจรเลิกใช้ Bitcoin มานานแล้ว
สาเหตุหลักเลย เพราะใช้แล้วโดนจับได้ง่ายขึ้น ไม่แตกต่างกับการโอนเงินเรียกค่าไถ่ด้วยรูปแบบอื่นๆเลย เป็นความจริงที่ใครก็สามารถเปิดกระเป๋าเพื่อรับ bitcoin โดยไม่ต้องแสดงตนได้ แต่ในเนื้อหาก่อนหน้านี้ที่แล้วเราได้เล่าไปแล้ว ว่า “ทุกคนล้วนเป็นผู้บริโภค” ดังนั้นโจรเอง ก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน และเมื่อต้องกินต้องใช้ เมื่อนั้นการเคลื่อนไหวของ bitcoin ที่ได้รับมาโดยผิดกฏหมาย ก็จะถูกตามแกะรอยได้ อันนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดในท้ายที่สุดอยู่ดี
Bitcoin มีการบันทึก จำนวน bitcoin ทั้งหมด เก็บในรูปแบบ UTXO ทั้ง 100% ที่มีอยู่ในระบบ และการทำธุรกรรมเคลื่อนไหวแม้จำนวนเพียง 1 sats ก็จะสามารถถูกติดตามได้จาก UTXO เดิมที่เชื่อม UTXO ใหม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีธุรกรรมใดเลยที่ถูกลบ แก้ไข หรือ เปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ รวมทั้งการซ่อนจากการแสดงผลต่อสาธารณะ ดังนั้น ใครที่คิดว่าใช้ Bitcoin เพื่อกระทำความผิด แล้วจะรอด ก็มักจะโดนจับได้ในท้ายที่สุด
เรื่องนี้ มีเรื่องจริงที่ของบุคคลที่ชื่อ Jimmy Zhong ซึ่งเคยเป็นโจรที่ Hack Exchange เพื่อขโมย bitcoin มูลค่า $3 billion มาแล้ว และโดนจับแล้วด้วยเช่นกัน หรือ อีกหลายๆกรณี ที่โดยจับเพราะการตามแกะรอยจากเส้นทางการเงินของ Bitcoin นั่นเอง
ดังนั้น ถ้าใครยังบอกว่า Bitcoin เป็นเครื่องมือของโจรอยู่ ก็แสดงว่า หยุดการ update ความรู้ความเข้าใจมานานหลายปีมากแล้ว
ปัจจุบันโจรเปลี่ยนไปใช้ Privacy Coin กันหมดแล้ว
เงินสด พระเครื่อง รูปภาพ ตุ้กตา ทองคำ ถูกใช้ฟอกเงินสูงกว่า Bitcoin มาก
ลักษณะจะคล้ายกันกับความเข้าใจว่า โจรจะใช้ Bitcoin ในการฟอกเงิน แต่หากความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน โจรใช้เครื่องมือตัวอื่น ซึ่งปลอดภัยในการฟอกเงินกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็น เงินสด พระเครื่อง รูปภาพ ตุ้กตาราคาแพง ทองคำแท่ง เพราะของเหล่านี้ ไม่มีการบันทึกผู้ที่เป็นเจ้าของ และมีราคาสูง ทำให้โยกย้ายเปลี่ยนมือ และไม่สามารถติดตามได้ สำหรับธุรกิจที่ผิดกฎหมายต่างๆ ได้สะดวกกว่าการโดนสอดส่องจากเส้นทางการเงินของ Bitcoin อยู่มาก
ข่าวที่อธิบายเพิ่มเติมในเรื่องนี้
- https://www.fxstreet.com/cryptocurrencies/news/crypto-use-in-money-laundering-far-below-cash-us-treasury-202402081109#:~:text=Cash%2C not cryptocurrencies%2C remains the,the United States Treasury Department
- https://www.europol.europa.eu/sites/default/files/documents/europolcik (1).pdf
- https://www.fsreg.com/use-of-cash-for-money-laundering-purposes-a-modern-day-perspective/
มีความเสี่ยงในการถูกแฮ็ก
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : 51% Attack คือสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ และจะส่งผลกระทบต่อ Bitcoin ได้โดยตรง
51% Attack มีความเป็นไปได้จริง
51% Attack คือการที่ กลุ่มคนหนึ่ง เป็นเจ้าของกำลังขุด มากกว่าครึ่งนึง ของทั้ง network รวมกัน สมมุติว่า ปัจจุบัน โลกเรามีกำลังขุดอยู่ที่ 560 Exa Hash ต่อวินาที การจะโจมตีได้ จะต้องมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีกำลังขุด 560.00001 Exa Hash (ขอแค่มากกว่า กำลังขุดเดิม แม้เพียงน้อยนิดก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง 51% จริงๆ ขอแค่มากกว่าคือชนะ) เค้าก็จะเป็นคนที่ทำ 51% Attack ได้
แล้ว 51% Attack ส่งผลร้ายอะไรบ้าง? Attacker จะทำ Double Spend ได้ หมายถึง การที่ Attacker โอน bitcoin ของตัวเองไปให้คนอื่นแล้ว จากนั้น ก็ใช้เงินก้อนเดิมที่โอนออกไปแล้ว ทำการโอนไปให้คนอื่นอีก โดยย้อนไป mining block ก่อนหน้าที่โอนสำเร็จ (ซึ่งยังมีเงินอยู่) และใช้กำลังขุดที่สูงกว่า ในการ ขุดแข่งกับสาย chain เดิม โดยกำลังขุดที่สูงกว่า จะขุดพบ block ได้เร็วกว่า และ block จาก network เดิม ก็จะหายไป การทำ Double spending ก็จะสำเร็จ
อีกสิ่งที่ทำได้ คือ sensor บางธุรกรรมที่เค้าเลือก เพื่อไม่ให้ธุรกรรมเหล่านั้น ถูกยืนยันลง blockchain ได้
สองสิ่งนี้เท่านั้นที่ทำได้จาก 51% Attack เค้าไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงธุรกรรมของคนอื่นมาเป็นของตัวเองได้ เพราะเค้าจะไม่มี signature ที่ถูกต้อง และ เค้าจะไม่สามารถไปเอา Bitcoin จาก wallet คนอื่น มาเป็นของตัวเองได้อีกด้วย รวมทั้งไม่สามารถสร้าง Bitcoin เพิ่มให้ตัวเองได้ (ถ้าไม่นับเรื่องการมีกำลังขุดสูงจนปิด block และได้รับ block reward) เพราะนี่เป็นคนละเรื่องกันทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องกับกับการขุดทั้งสิ้น
และ 51% Attack ไม่ใช่เรื่องง่าย มี Factor ที่เป็นองค์ประกอบที่จะทำให้สำเร็จหลายข้อ ต้องเป็นจริงทุกข้อ ดังนี้
- มีกำลังขุดมากกว่า 51% ของ Network : จากตัวอย่าง เดิม network มีกำลังขุด 560 Exa Hash ดังนั้น Attacker ต้องมีเยอะเกินกว่า 560 Exa Hash หรือ มากกว่าครึ่งนึง ไม่ว่ากำลังขุดนั้นจะเกิดใหม่ หรือดึงของเดิมก็ตาม แต่หากตามตัวอย่าง กำลังขุด จะกลายเป็น 1120 Exa Hash ทันที ซึ่งสูงมากๆ
- กำลังขุดเกินกว่าครึ่งนึง จำเป็นต้องมีทรัพยากรมหาศาล สำหรับการใช้ดำเนินการครั้งนี้ และรันได้ต่อเนื่อง : ทรัพยากรแบ่งเป็นสองส่วน
- ส่วนแรก คือ การลงทุน ได้แก่ โรงงาน ที่ตั้งเครื่องขุด และ อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น network ระบบจัดการความร้อน ความชื้น ระบบไฟฟ้าแรงสูง-ต่ำ ระบบจัดการ เครื่องขุดทุกๆเครื่องแบบ remote ค่าติดตั้ง ค่าเครื่องขุด ซึ่งเครื่องขุดปัจจุบัน ราคาหลายแสน ถึง ล้านบาท ต่อเครื่อง และการจะทำให้มีกำลังขุดได้เท่ากับที่มีปัจจุบัน ต้องใช้เครื่องขุดจำนวนมหาศาลมาก ดังนั้น ทุกอย่าง ใช้เงินลงทุนสูงมาก เท่าที่ผมเคยกดคำนวณคร่าวๆเอาไว้ เฉพาะส่วนนี้ ก็หลักพันล้าน US Dollar เข้าไปแล้ว โดยคอขวด ของหัวข้อนี้ จะอยู่ที่ เครื่องขุดสามารถผลิตและส่งมอบได้หลักหมื่นเครื่องต่อปี เท่านั้น แต่ความต้องการระดับปัจจุบัน ต้องใช้หลักแสนเครื่องแน่นอน
- ส่วนสอง คือ การดำเนินการ ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าคนติดตั้ง ดูแล ค่า internet ซึ่งส่วนนี้ สิ่งที่จะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ก็คือ พลังงานไฟฟ้า เพราะปัจจุบัน กำลังไฟฟ้าที่ใช้ขุด Bitcoin นั้น คิดเป็นประมาณครึ่งนึงของพลังงานไฟฟ้าที่ประเทศไทยใช้ทั้งประเทศในปัจจุบัน (โดยประมาณ) ดังนั้น จะต้องจัดหาแหล่งพลังงานไฟฟ้า ที่มีขนาดใหญ่ครึ่งนึงของทั้งประเทศไทยใช้ ซึ่งนี้ก็คืองบการลงทุนอีกหลักร้อยล้าน US Dollar อีกเช่นกัน และต้องใช้พื้นที่ใหญ่มาก ในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า ระดับนี้ อีกทั้ง การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าระดับนี้ ก็ยังใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสูงมากๆอีกด้วย (ค่าใช้จ่ายทางด้านไฟฟ้า ป้อนให้เหมืองขุด ขนาดครึ่งนึงของที่ประเทศไทยใช้งานอยู่) ซึ่งจะเป็น operation cost หมายถึง ตลอดเวลาที่ดำเนินการ จะต้องจ่ายตลอดเวลา ไม่ใช่จ่ายครั้งเดียวครั้งแรก
- พร้อม scale เพิ่มได้ หาก network เดิม มีการขยายกำลังขุดเพิ่ม : ในปัจจุบันเราสามารถต่อต้านการทำ 51% Attack ได้โดยการเพิ่มแรงขุดเข้ามาใน network ซึ่งทำได้ง่ายมาก เพียงมี USB miner ที่บ้าน หรือใช้ computer / notebook ของที่ใช้งานอยู่ เราก็ทำได้แล้ว แม้ว่าประสิทธิภาพไม่สูง แต่เราทุกคนสามารถร่วมกันเพิ่มกำลังขุดให้ network เดิม เพื่อให้ attacker แพ้ได้ง่ายมาก แต่กลับกัน attacker ต้องมีเงิน เวลา และทรัพยากรที่มากพอ เพื่อที่จะเพิ่มแรงขุดให้แซงกลับคืนได้ เพราะไม่อย่างนั้น network เดิมก็จะชนะได้ และ attacker ก็จะพ่ายแพ้ และงบการลงทุนทั้งหมดก็เรียกได้ว่าขาดทุนทันที
- ต้องย้อนธุรกรรมไป 1 block : ก็คือย้อนกลับไป mining block ที่ได้ทำการโอนครั้งแรกเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่บรรจุ transaction ที่ได้ทำการโอนครั้งนั้นลงไป เพื่อให้ดูเหมือนว่า ยอดนี้ยังไม่เคยดึงออก พร้อมทั้งลบ ธุรกรรมเดิมจาก mempool รวมทั้ง add new transaction เพื่อใช้เงินก้อนเดิมโอนให้คนอื่นอีกครั้ง จากนั้น ก็ทำการปิด block ในจังหวะนี้ blockchain จะเกิดการแตกสายออกมา
- โชคต้องดี ได้อย่างต่อเนื่อง : เนื่องจากการ mining Bitcoin นั้น ไม่ได้การันตีว่า กำลังขุดที่สูงกว่าจะเป็นผู้ที่สามารถปิด block ได้เร็วกว่ากำลังขุดที่มีอยู่เดิมอย่างต่อเนื่อง เพราะเราต่างรู้กันว่า การขุดนั้น แท้จริงคือการสุ่มเพื่อหาเลข nonce ที่ทำให้ transaction ที่เข้ารหัสทั้งหมดนั้น ได้ตัวเลขต่ำกว่าค่าที่ network กำหนดเอาไว้ ดังนั้น ถ้ากำลังขุดไม่ได้สูงเกินจนทำให้เกิดความแตกต่างกับ network เดิมอย่างมีนัยยะสำคัญแล้ว ต้องอาศัยโชคดีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ปิด block ได้เร็วกว่าอย่างต่อเนื่องด้วย จึงจะมีสาย chain ที่เร็วกว่าสายเดิมได้
ดังนั้น ถ้า attacker จะลงทุนขนาดนี้ เพื่อทำ double spending ได้ไม่กี่ครั้ง และง่ายมากที่ network เดิมจะแซงคืน ช่างเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเอามากๆ อีกทั้ง ปัจจัยที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ ช่างดูห่างไกลจากโลกความเป็นจริงเหลือเกิน ถ้าเปลี่ยนจากการ attack เป็นเข้าร่วมสร้าง network ปัจจุบันเพื่อให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งจะได้รางวัล bitcoin ที่คิดเป็นตัวเงินแน่นอน แบบไม่ต้องลุ้น เพราะว่าเค้าจะครอบครองกำลังขุดที่เกินครึ่งนึง ซึ่งเป็นไปได้สูงมากกว่า เค้าก็จะได้ค่าธรรมเนียมเป็นส่วนใหญ่ของ block ที่ถูกปิดไปเรื่อยๆ จนกว่า network กลุ่มเดิมจะเพิ่มขึ้นมาเพื่อแซงกลับอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่บอกไปแล้วเช่นกัน แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ?
Bitcoin (เกือบ)ไม่เคยถูก Hack(Crack)
ถ้าไม่นับ กรณีแรกในปี 2010 ที่พึ่งเริ่มต้นของ Bitcoin ในช่วงแรก และมีช่องโหว่ทำให้เกิด Output จำนวน Bitcoin ที่มากกว่า input ส่งผลให้มี transaction หนึ่ง ก่อให้เกิดจำนวน bitcoin เพิ่มขึ้นในระบบเป็นแสนล้าน bitcoin แต่ใช้เวลาไม่นาน ก็แก้ไข และ ใช้เวลาอีกไม่นานมาก Satoshi ก็ได้ขอความร่วมมือ miner เพื่อให้ย้อนไป mine ใหม่ ด้วย code ชุดใหม่ จาก block สุดท้าย ก่อนเกิดการ hack จนทำให้ chain ใหม่ ที่ยังไม่เกิดการถูก hack มีการ mine ตามหลังมาและ แซงหน้า chain ที่มีข้อมูลการ Crack บันทึกอยู่ได้ (หลักการเดียวกับที่ใช้ทำ 51% attack) สุดท้าย Chain ที่ถูก Crack ก็หายไป (เพราะเป็นสายสั้น และ กำลังขุดต่ำกว่า) ซึ่งครั้งนั้น Satoshi (ผู้สร้าง) ไม่สามารถบังคับให้ node ต่างๆ upgrade software + ย้อนไปร่วมขุด ก่อนจุดที่เกิดความผิดพลาดนั้นๆได้ เพราะ miner ทุกคนไม่ได้ทำงานให้ Satoshi แต่ร่วมมือกันรักษา network ที่แข็งแรง และ รักษา Bitcoin network ให้คงอยู่ต่อ โดยการเลือกรัน software และเลือกการกระทำที่ถูกต้องด้วยเหล่าของตัว miner เอง จนทำให้ ผู้คนที่ร่วมกันขุดใน Bitcoin network ก็ทยอยเปลี่ยนมาใช้ software version ใหม่และ ร่วมขุดในสาย chain ที่ย้อนกลับไปก่อนเกิดเหตุการณ์ และดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า 14 ปี ก็ยังไม่เคยถูก crack ได้อีกเลย
อย่าคิดว่า Hacker รอขุนให้อ้วนแล้วเชือดทีเดียว
Source code และระบบการทำงานของ Bitcoin ได้เปิดเผยมาตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบันที่ทำงานอยู่ ทุกคนสามารถเข้าไปตรวจสอบโค้ดได้ทุกบรรทัด และ ยืนยัน source code ที่ระบบทำงานอยู่ได้ด้วยกระบวนการ hash ทางคณิตศาสตร์ ดังนั้น สายตา hacker ต่างพร้อมจับจ้องไปที่ Bitcoin ที่ทำงานแบบเปิดเผยมาเป็นสิบปีแน่นอนอยู่แล้ว และมีค่าหัวของการ crack ในระดับมหาศาล มากพอที่จะกินใช้ไปทั้งชีวิต สำหรับการ Crack bitcoin ได้เพียงครั้งเดียว (ปัจจุบันมีค่าหัว ที่อิงจาก Marketcap คือ $1.3 Trillion)
แต่ก็ยังไม่มีใครทำได้….. และเป็นไปไม่ได้ที่มีคนทำได้ แต่ยังไม่ทำ เพราะเค้าจะต้องเล่นเกมจิตวิทยากันเอง ว่าใครจะลงมือก่อน ซึ่งในเวลาไม่นานมาก จะต้องมีคนที่อดทนไม่ได้และชิงลงมือแล้วแน่นอน เพราะคนที่ลงมือคนแรก จะได้ผลประโยชน์สูงสุด เนื่องจากราคา Bitcoin จะยังไม่ตก จากการ panic ของตลาด ดังนั้น ไม่พร้อมใจกันรอนานเป็นสิบปี เพื่อขุนให้อ้วนแล้วเชือดทีเดียวเป็นแน่แท้
อีกทั้งโครงการ Bitcoin ก็ยังไม่ตาย ยังมีการ ตรวจสอบ วิเคราะห์ และ พัฒนาสิ่งต่างๆอยู่อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการ หรือ ศึกษาเชิงลึก ก็จะไม่รู้ว่ามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง และ ทุกครั้งที่จะมีการ upgrade ในเรื่องใดๆของ Bitcoin ก็ตาม ก็มีการเผยแพร่ ตรวจสอบ และ ลงมติกันเองในกลุ่มผู้พัฒนา และคนที่สนใจอย่างเปิดเผยอีกด้วย หากสนใจ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อได้ที่ https://bitcoin.org/en/development
ที่ได้ยินว่าโดน hack กันทุกปีนั้น แท้จริงไม่ใช่ Bitcoin ที่ถูก hack
เราต่างได้ยินว่าโจรมีการ hack เพื่อขโมย bitcoin กันอย่างต่อเนื่องทุกๆปี มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ถ้าคนที่มีความเข้าใจในระบบการทำงานของ Bitcoin จริงๆ จะเข้าใจว่า การ hack เหล่านั้นจะเกิดจากการ hack ในข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- Crypto Exchange : ก็คือตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างกรณีที่ดังที่สุด ก็คือ Mt. Gox ที่โดน hack จนต้องปิดบริการไป เมื่อหลายปีก่อน สิ่งนี้ก็คือ Exchange ที่ถูก hack ไม่ใช่ Bitcoin ที่ถูก hack ซึ่ง Bitcoin เอง ก็เป็นสินทรัพย์ที่ถูกขโมยไป ไม่ได้เกิดจาก bitcoin เองแต่อย่างใด
- Wallet : มีการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลออกจาก wallet โดยที่เจ้าตัว ไม่ได้เป็นคนดำเนินการด้วยตัวเอง กรณีนี้ จะเกิดได้จากหลายสาเหตุย่อย แต่ว่าสาเหตุหลักก็คือ User/Human error หรือ fraud คือผิดพลาดที่คน หรือ ผู้ครอบครอง private key/seed words ไม่ว่าจะเป็นการมอบ seed word, private key ให้เว็บ หรือว่าถูก hack computer/email/พื้นที่เก็บข้อมูลที่มีการจัดเก็บ seed word/private key เอาไว้ ซึ่ง Bitcoin เอง ก็เป็นสินทรัพย์ที่ถูกโอนไปเช่นกัน
- Decentralize Financial : มีการ Crack เกิดขึ้นในหลายๆ Decentralized Finance platform ทำให้สูญเสียเงินลงทุนที่อยู่ใน platform ไปเป็นจำนวนมาก กรณีเหล่านี้ เกิดจากความผิดพลาดของ Platform เอง ส่วน Bitcoin เป็นเพียงสินทรัพย์ที่อยู่ใน Platform เท่านั้น ไม่ได้เกิดจากตัว Bitcoin เอง
จะเห็นได้ว่า ไม่มีกรณีไหนเลยที่ Bitcoin โดน hack
ทั้งหมด ล้วนเกิดจากความไม่เข้าใจของนักข่าว ที่พาดหัวข่าวแบบไม่มีความรู้ และ มักจะเขียนว่า Bitcoin ถูก hack เกือบจะทุกกรณี แต่หากเป็นนักข่าวที่เข้าใจเรื่อง Crypto currency / Bitcoin แล้ว ก็จะไม่พาดหัวข่าวแบบนั้น ดังนั้น เราสามารถใช้ความรู้ตรงนี้ ในการพิจารณาความรู้ของสำนักข่าวต่างๆได้อย่างง่ายๆเลย
Bitcoin ไม่มีมูลค่า
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : Bitcoin ไม่ได้มีธุรกิจ หรือ กิจการอะไรที่อยู่เบื้องหลัง อันตีค่าออกมาเป็นมูลค่าที่แสดงเป็นราคาของ Bitcoin ได้ แตกต่างจาก หุ้น ที่เป็นเพียงตัวเลขเหมือนกัน แต่ว่ามีกิจการ หรือ มูลค่าของสินทรัพย์อื่นๆ ของกิจการอยู่เบื้องหลัง
ไม่มีสิ่งใดที่มีมูลค่าในตัวเองที่แน่นอนหรือคงที่
อ้างอิงจากพื้นฐานแนวคิดของ Adam smith และ David Ricardo ที่ได้พัฒนาแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิกและการตีความใหม่ของทฤษฎีมูลค่า โดยเน้นว่าราคาสินค้าและบริการในตลาดเป็นผลมาจากความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ ของสิ่งเดียวกัน อาจจะมีราคาแพง หรือ ไม่มีราคาเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า มีอุปสงค์ และ อุปทานในระดับใด
ยกตัวอย่างง่ายๆ ลูกแก้ว ที่เด็กๆ ใช้ดีดเล่นกัน ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปมาตามเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
- อุปสงค์ต่ำ อุปทานสูง : ราคาจะต่ำลง เพราะมีลูกแก้วผลิตออกมามาก แต่ไม่มีใครต้องการ หรือ อาจจะมากจนไม่มีราคาเลย เพราะไม่มีความต้องการซื้อเกิดขึ้น ก็ไม่มีเด็กคนไหนที่จะให้ค่า นำเงินมาซื้อ แต่หากให้ฟรี ยังต้องการอยู่ (ราคา = 0)
- อุปสงค์ต่ำ อุปทานต่ำ : ราคาจะนิ่งอยู่ในระดับต่ำ หรือ ราคาค่อนข้างจะคงที่อยู่ที่จุดใดจุดนึง ขึ้นอยู่กับความไม่สมดุลย์จะเอนเอียงไปทางใดมากกว่ากัน
- อุปสงค์สูง อุปทานสูง : ราคาจะผันผวน หรือ นิ่งอยู่ในระดับที่สูง ขึ้นอยู่กับความไม่สมดุลย์จะเอนเอียงไปทางใดมากกว่ากัน
- อุปสงค์สูง อุปทานต่ำ : ราคาจะอยู่ในระดับสูง เนื่องจาก มีความต้องการซื้อมาเล่นมาก แต่ว่าไม่สามารถหาซื้อได้ ดังนั้น อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ยอมซื้อในราคาที่แพงกว่า หรือ ซื้อต่อจากเพื่อนในราคาที่แพงกว่าที่หน้าร้านขายได้ เพราะหน้าร้านยังไม่มีของในขณะนั้น
- ไม่มี อุปสงค์ หรือ ไม่มีอุปทาน ก็จะไม่มีราคาเลย เพราะไม่เกิดความต้องการ หรือ ไม่เกิดการผลิตขึ้น ทำให้ไม่เกิดการแลกเปลี่ยนใดๆเกิดขึ้น
ดังนั้นจะเห็น มูลค่า ที่เด็กมีให้ต่อลูกแก้วนั้น แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละรูปแบบ ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของหลักอุปสงค์ อุปทานนั่นเอง
สิ่งนี้สามารถใช้งานได้กับทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือ บริการใดๆ ก็ตาม ที่มีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น ต่างอยู่ภายใต้ข้อกำหนดเดียวกันนี้เหมือนกันทั้งหมด Bitcoin ทองคำ ที่ดิน อาหาร เครื่องดื่ม หรือ การนวด spa ก็ไม่ถูกยกเว้น
หากสิ่งใดที่หาได้ยาก หรือ ผลิตได้ยาก คนต่างมีความต้องการ จะมีมูลค่า
ตัวอย่างที่เราเข้าใจได้ง่ายที่สุด และเห็นอยู่ในชีวิตจริง ก็คือ พระเครื่อง กระเพาะปลา เหล้าเก่า แบ้งค์เก่า หรือแบ้งค์/เหรียญที่มีความผิดพลาดในการผลิตบางอย่าง หรือแม้กระทั่งทองคำ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็จะมีกลุ่มคนที่ให้คุณค่า อันเนื่องมาจากการผลิตได้ยาก หรือบางอย่างไม่สามารถผลิตขึ้นได้อีกแล้ว ในจุดที่นับจากนี้เป็นต้นไป
ทองคำ ก็ไม่ยกเว้นในกรณีนี้ ส่วนหนึ่งที่ราคายังสูง และ ไม่เสื่อมสลายกลายเป็น 0 ก็เป็นเพราะการผลิตได้ยาก เพราะหากทองคำ เป็นสิ่งที่ผลิตได้ง่าย ใครต่างก็ต้องการผลิตขึ้นมาด้วยตนเอง เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีก โดยเฉพาะคนที่มีทุนทรัพย์มหาศาลอยู่แล้ว ย่อมเป็นเรื่องง่ายขึ้นไปอีกมาก แต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่เป็นอย่างนั้น
เช่นเดียวกันกับ Bitcoin ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ง่าย ด้วยการเติมตัวเลขเข้าไปในระบบ แต่การจะได้มาซึ่ง Bitcoin ต่างต้องใช้เครื่องขุด ซึ่งราคาแพงมาก และ กระบวนการขุด ก็ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้มีต้นทุนที่ต้องจ่าย และราคา ก็ไม่ได้ถูกกว่าการใช้เงินซื้อมาเลย และหลายประเทศอย่างเช่นประเทศไทย ที่ต้นทุนค่าไฟฟ้ามีราคาแพง จะส่งผลให้ ต้นทุน bitcoin ที่ขุดมาได้นั้น ก็ราคาแพงมากขึ้นกว่าราคาที่ใช้เงินซื้อมาอีกด้วย ดังนั้น ถ้าเราต้องการ bitcoin เราก็ต้องซื้อด้วยราคาแพง หรือ หาวิธีการขุดที่อาจจะได้ต้นทุนที่แพงกว่า ยังไม่มีวิธีการอื่น เพราะอย่างที่ได้เคยบอกไปแล้ว กว่าสิบปีของ Bitcoin ก็ยังไม่เคยถูก hack เลย เลยยังไม่เคยมีใครที่ได้ Bitcoin มาฟรีๆ
การเข้ายึด ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จริงอยู่ที่ รัฐบาล สามารถออกกฎหมาย หรือ บังคับใช้อำนาจ เพื่อยึด bitcoin จากมือของประชาชนได้ แต่ถ้าหาก รัฐไม่สามารถระบุได้ว่า กระเป๋าไหน เป็นของใครแล้วล่ะก็ รัฐบาล ก็ไม่สามารถเข้ายึดได้ และต่อให้รัฐสามารถรู้ว่าใครเป็นเจ้าของกระเป๋า แต่ถ้าเจ้าของกระเป๋าไม่ยินยอมในการมอบ private key หรือ seed words ให้แล้ว รัฐบาล ก็จะไม่สามารถยึด bitcoin จากเจ้าของได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น bitcoin ก็จะเป็นของหายากต่อไป อย่างที่เคยเป็น และ จะเป็นแบบนั้นตลอดไป ซึ่งนั่นคือการรักษามูลค่าเอาไว้ได้อย่างที่ควรจะเป็น
Bitcoin ไม่สามารถรักษามูลค่าได้
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : ไม่มีอะไรเป็นเครื่องการันตีว่า Bitcoin จะรักษามูลค่าได้ อันเนื่องมาจากความผันผวนของราคาเอง ดังนั้น อนาคต หากผู้คนเลิกให้ความสนใจ มูลค่าก็จะลดลง ก็ถือว่าไม่สามารถรักษามูลค่าได้แล้วนั่นเอง
Bitcoin จะรักษามูลค่าได้ ตราบใดที่กฎเกณฑ์พื้นฐานของ Bitcoin ไม่เปลี่ยน
จากหัวข้อก่อน ที่ได้นำเสนอ การโต้แย้งไปแล้วว่าเพราะเหตุใด Bitcoin ถึงมีมูลค่า และด้วยการทำงานของ Bitcoin ที่เป็นไปตามกฎที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่แรกจนปัจจุบัน นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า Bitcoin ได้สามารถรักษามูลค่าเอาไว้ได้อย่างไร โดยสรุปอีกครั้ง ก็คือ ต้องสร้างได้ยาก, ต้องไม่มีใคร hack ได้, ทำลายไม่ได้ นี่ก็คือข้อกำหนดพื้นฐานที่จะทำให้ Bitcoin เป็น Bitcoin แบบเดิม นับจากอดีตไปจนถึงอนาคต ถ้าผู้คนที่ยังให้ค่ามาก่อนแล้ว เค้าก็จะยังให้ค่าต่อไป
การผันผวนของราคา เป็นเรื่องระยะสั้นเท่านั้น
หากเราพิจารณาให้ดีๆแล้ว การผันผวนของราคา ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ที่ผู้คนกลุ่มหนึ่ง ได้เลิกสนใจ และ ขาย Bitcoin ในมือตัวเองออกมา แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนมากที่รอซื้อ Bitcoin เก็บในช่วงเวลาที่ราคายังถูกอยู่ เพราะเค้ามั่นใจในความแข็งแรง และ การไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองของ Bitcoin อย่างในเหตุผลที่ได้กล่าวในย่อหน้าบน
สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตได้ก็คือ ทุกครั้ง ที่ bitcoin ถูกเทขายออกมา จนทำให้ราคาตกลงมาเรื่อยๆ เราจะเห็นได้ว่า ราคาที่ต่ำที่สุด ของ bitcoin จะสูงขึ้นกว่าจุดต่ำสุดที่อยู่ในรอบ Bitcoin halving cycle ก่อนหน้าเสมอ ก็คือถ้าวัดกันที่วงรอบประมาณ 4 ปี ราคาที่ต่ำที่สุด ที่อยู่ในแต่ละวงรอบ สูงขึ้นกว่าวงรอบเก่าเสมอ แม้ว่าไม่มีใครกล้ายืนยันได้ว่า จะเป็นแบบนี้ตลอดไปหรือไม่ แต่ว่า นับจนถึงวันนี้ ก็พอเป็นตัวชี้วัดนึงทางด้านราคาได้ว่า Bitcoin ยังรักษามูลค่าเอาไว้ได้อย่างดี
จนกว่าข้อกำหนด หรือการทำงานพื้นฐานของ Bitcoin จะเปลี่ยนแปลงไป
หน่วยย่อย ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สวนทางกับเงิน Fiat ที่มูลค่าลดลง
ขอย้อนกลับมาที่เงินบาท เมื่อก่อนเราซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ด้วยเงินเพียง 5 สตางค์ ในยุคสมัยของจอมพล ป. ดังนั้น เมื่อก่อน เราจึงมีเหรียญ 1 สตางค์ใช้งาน แต่ว่าปัจจุบัน ไม่มีใครรู้จักเหรียญ 1 สตางค์อีกแล้ว นั่นเป็นเพราะว่า มูลค่าของเงินบาท ลดลงเรื่อยๆ บทบาทของเหรียญ 1 สตางค์จึงลดลงเรื่อยๆ และท้ายที่สุด เราก็เลิกใช้ เช่นเดียวกับปัจจุบันคือ 2024 ที่เราไม่ค่อยพบการตั้งราคาขายสินค้าในหน่วยสตางค์อีกแล้ว และปัจจุบัน คนไทยก็ไม่นิยมพกพาเหรียญ 25 หรือ 50 สตางค์ หรือ มีโอกาสได้ใช้เหรียญเหล่านี้แล้วด้วย อีกทั้ง ร้านอาหารข้างทาง ก็นิยมตั้งราคาให้ลงด้วย 0 หรือ 5 เช่น 40, 45 บาท แทน อันจะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งเหรียญหนึ่งบาท และ สองบาท ก็เริ่มเสื่อมมูลค่าลงไปเรื่อยๆด้วยเช่นกัน อีกไม่นานเกินช่วงชีวิตเราก็อาจจะเหลือ เหรียญที่เล็กที่สุด คือ 5 บาท เท่านั้น เหมือนกับเหรียญ 1 สตางค์ที่หายไปแล้วในปัจจุบัน
แต่ Bitcoin นั้นสวนทาง เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เราจะพบว่า จำนวน 1 Sats (หนึ่งหน่วยที่ย่อยที่สุด ของ Bitcoin) กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป เมื่อก่อน 1 sats มีมูลค่า ไม่ถึง 1 สตางค์ แต่ว่า ปัจจุบัน 1 sats มีมูลค่า 28 สตางค์แล้ว อนาคตก็เป็นไปได้ว่าจะมีมูลค่าที่มากกว่า 1 บาท หรือ 5 บาทได้อีก แปลว่าหน่วยที่เล็กที่สุดของ Bitcoin ก็ยังมีมูลค่ามากกว่ามูลค่าที่น้อยที่สุดของเงินบาท ดังนั้น ถ้าเราพิจารณาตามความเป็นจริง สิ่งที่เป็นไปในโลกความเป็นจริงนั้นอดีตเป็นอย่างไร การเดินทางไปสู่อนาคต ก็ล้วนมีแนวโน้มจะเป็นไปในแบบเดิมนั่นเอง
ไม่สามารถจับต้องได้ แตกต่างจากทอง ที่มีของจริงให้จับ
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : Bitcoin นั้นเป็นเพียงตัวเลข digital เท่านั้นไม่สามารถจับต้องอะไรได้จริงในชีวิตจริง แตกต่างจากทอง ที่มี physical ให้จับได้จริง
เราเข้าสู่ยุค Digital กันนานแล้ว
ขอย้อนไปที่ เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ก็คือ Covid-19 ส่งผลให้ทุกคนต้องเก็บตัวเองอยู่ในบ้าน กิจการ ห้างร้านต่างๆ ปิดไปทั้งหมด แต่ในช่วงเวลานั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ยังดำเนินต่อไปได้ ก็คือ Online หรือว่า กิจการที่ทำงานในรูปแบบ Digital และเท่านั้นไม่พอ การเติบโตขึ้นของเครื่องมือต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกในการทำงานรูปแบบ Online ต่างก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เช่น zoom ที่เป็นเครื่องมือประชุม Online ต่างก็มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นล้านคนทั่วโลก แม้ว่าภายหลังจาก Covid-19 ผ่านไปแล้ว ระบบการทำงานของบริษัทจำนวนมากก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง การทำงาน work from home ก็เป็นเรื่องธรรมดาของหลายบริษัทไปแล้ว และ คนทำงานจำนวนมากกลุ่มหนึ่ง ก็ตัดสินใจว่า จะทำงานแต่กับบริษัทที่มี work from home เท่านั้นด้วย
นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ว่าเราได้เข้าสู่ยุค การใช้ชีวิต, ทำงานเลี้ยงชีพ ผ่านทาง Online โดยใช้เครื่องมือ Digital กันหมดแล้ว และมันก็มีข้อดี ที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกสะบายมากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ Digital ทำให้คุณภาพชีวิตของคน ดีขึ้นได้ และโดยธรรมชาติคนเราจะเลือกแนวทางการใช้ชีวิตที่เอื้อประโยชน์ ความสะดวกให้กับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว จะเห็นได้จาก เวลาที่เราทำธุรกรรมการเงินผ่าน Application ได้ เราก็ไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปที่สาขาของธนาคารเหมือนอดีตอีกแล้ว
Technology ลดระยะทางการทำธุรกรรม
อีกสิ่งที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ ก็คือการเอา Technology เข้ามาใช้ทำธุรกรรม โดยเฉพาะ การเงิน ตอนนี้คงไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า การมี Application ธนาคาร ช่วยทำให้คนสามารถทำธุรกรรมการเงินกันได้สะดวกขึ้น ถ้าเราย้อนไปในอดีต เราจะพบว่า เราต้องขนเงินสดไปชำระอย่างเดียวค่าสินค้าและบริการอย่างเดียว ต่อมาก็มี เช็คเงินสด เพื่อลดการใช้งานเงินสด และ ทำให้สะดวกในการแลกเปลี่ยนมูลค่าระหว่างกันให้มากขึ้น ใช้ได้สะดวกมากขึ้น จนปัจจุบันที่มีแต่ application เพียงอย่างเดียว ก็ทำธุรกรรมการเงินระหว่างกันได้แล้ว ไม่ต้องขนส่งเช็คเงินสดกันอีก นี่คือสิ่งที่ Technology ได้สร้างขึ้นมาทำงานกับการเงิน และ ไม่ว่า Technology จะดีแค่ไหน แต่มันจะไม่ถูกเอามาใช้ ถ้าผู้คนต่างไม่ต้องการ หรือไม่ตอบรับในเชิงเป็นบวก
คำถามที่ต้องชวนคิดก็คือ ทำไม Technology การโอนเงินในปัจจุบัน ผู้คนถึงยอมรับ และ Bitcoin ที่เป็น Technology แบบนึงเหมือนกัน ผู้คนต่างพากันตั้งข้อสงสัยกันล่ะ หากไม่ได้เกิดจาก Bias ใดๆแล้ว ก็ควรจะมีคำตอบไปในแนวทางเดียวกันได้อย่างไม่ยากเลย ซึ่งส่วนใหญ่ ก็พบว่าเป็นเพราะความไม่เข้าใจในการทำงานของ Bitcoin อย่างถูกต้องในทุกแง่มุมเท่านั้น อีกทั้งขาดการสนับสนุน และผลักดันให้ใช้งานจากภาครัฐอย่างจริงจัง เท่านั้น ดังนั้น Bitcoin จึงต้องใช้ความจริง และ เวลาเป็นเครื่องมือผลักดันให้เกิดความเข้าใจ และ ใช้งานอย่างแพร่หลายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การจับต้องได้ ไม่ใช่ตัวแสดงมูลค่าอย่างแท้จริง
กลับมาที่ปัจจุบันกัน ถ้าบอกว่า การที่เราจับต้องสิ่งใดได้ สิ่งนั้นจะต้องมีมูลค่า งั้นตัวเลขในบัญชีธนาคารของทุกคน ของธนาคารกลางแต่ละประเทศ ก็ต้องไม่มีค่าด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้ง ปัจจุบัน ที่มีการ ออมทองผ่าน application ต่างๆ ทั้งหมดนั้น ก็ต้องไม่มีมูลค่าด้วยเช่นกัน คิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
ความน่าเชื่อถือระบบที่แสดงตัวเลขให้เราดู คือมูลค่า
เราเชื่อว่าเงินฝากธนาคาร มีมูลค่าได้ ก็เพราะเราเชื่อว่า ธนาคาร พร้อมจะคืนเงินให้เราเสมอ เมื่อเราต้องการ หากแต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่เลย ตัวอย่างจริง ก็มีให้เห็นแล้ว เมื่อประเทศเกิดวิกฤติขึ้นมา ธนาคาร จะถูกปกป้องจากการถอนเงิน หรือ จำกัดการถอนเงิน เพื่อป้องกัน bank run ก่อน ดังนั้น ประชาชนมาทีหลัง นี่ก็คือสิ่งที่แสดงได้ชัดมากอย่างนึง ว่าเงินของเรา ในธนาคาร ก็ไม่ใช่เงินของเราอีกต่อไป ทั้งธนาคาร และรัฐบาล มีอำนาจในการควบคุมเบ็ดเสร็จแล้ว แต่เค้าเพียงแค่ “อนุญาตให้เราใช้เงินของเรา” เพียงเท่านั้น
อีกเรื่อง ก็คือ เงินที่เราเห็นในระบบต่างๆ เป็นเพียงตัวเลข ที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูลของระบบเหล่านั้นเท่านั้น มีโอกาสผิดพลาด เปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างเหตุการณ์หลายๆครั้ง ที่เคยเกิดขึ้นจริงมาแล้ว ที่อยู่ดีๆ ตัวเลขเงินในบัญชีธนาคารของลูกค้าบางคนก็ลดลง หรือ เพิ่มขึ้นอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อติดต่อธนาคาร ธนาคารก็ตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องในภายหลัง
แต่สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับ Bitcoin เพราะตัวเลขที่ปรากฏมีการตรวจสอบ (Audit) จาก node หลักหมื่น node ทั่วโลกตลอดเวลา ทุกธุรกรรม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ไม่มีธุรกรรมใดๆ ที่เกิดความผิดพลาดขึ้น แม้แต่หน่วยย่อยที่สุดคือ 0.00000001 bitcoin เลย และใครที่ได้เป็นเจ้าของ Bitcoin ใน Private wallet ที่ดูแล seed words/private key ด้วยตัวเอง ก็จะมีสิทธ์ในการใช้งาน Bitcoin เหล่านั้นเสมอ ไม่มีใครในระบบ Bitcoin ที่มีอำนาจในการทำธุรกรรมใดๆแทนคนอื่นได้ทั้งสิ้น สิ่งนี้ก็เป็นข้อชี้วัด เพื่อให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนของ อรรถะประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริงจาก “สิ่งที่จับต้องไม่ได้”
ใช้ซื้อก๋วยเตี๋ยวปากซอยยังไม่ได้เลย
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : เหน็บแนม คนที่บอกว่า Bitcoin มีมูลค่า หรือว่า Bitcoin เป็นเงิน แต่เป็นเงิน และ มีมูลค่าแบบใด ที่ไม่สามารถใช้ซื้อก๋วยเตี๋ยวปากซอยได้
ร้านก๋วยเตี๋ยวเอง ที่ไม่ต้องการเงินนั้น ไม่เกี่ยวกับ Bitcoin
ถ้ามีคนนึง เดินไปร้านก๋วยเตี๋ยวปากซอยที่ว่านั้น(ร้านเดียวกับตัวอย่างเลย) แล้วยื่นเงินสกุล ดีนาร์คูเวต (KWD) ในมูลค่าเทียบเท่ากับก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามที่ขาย คิดว่าร้านนั้นจะรับหรือไม่
แน่นอน ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวนั้นไม่รับ เราก็ต้องตั้งคำถามใหญ่ๆแล้วนะ ว่าทำไมร้านถึงไม่รับ ทั้งที่ ดีนาร์คูเวต (KWD) เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดของปี 2567 เลย อ้างอิงจาก https://www.litefinance.org/th/blog/for-beginners/skul-ngein-thi-mi-khhathii-sud/ แปลว่า KWD เป็นสกุลเงินที่แย่เหรอ? เราต่างรู้ว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้น
และถ้าร้านก๋วยเตี๋ยวรับ ก็ด้วยเหตุผลอย่างที่บอกในหัวข้อเลย ร้านก๋วยเตี๋ยวเองต่างหาก ที่เลือกว่าจะรับ หรือ ไม่รับเงินสกุลอะไรก็ตาม เงิน USD KWD Bitcoin ไม่ได้เกี่ยวหรือมีส่วนในการแทรกแซงการตัดสินใจของร้านก๋วยเตี๋ยวเลย
ปัจจุบัน ร้านที่รับ Bitcoin ก็มีเพิ่มมากขึ้น
หลายคนยังยึดติดกับความรู้เก่า ก็คือ Bitcoin โอนให้กันต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพงมาก อีกทั้งยังช้ามากด้วย แต่แท้จริงแล้ว ปัจจุบัน มี Lightning Network ที่ทำงานเหมือนเป็น Layer 2 ของ Bitcoin network ที่โอน bitcoin ให้กันได้ โดยมีค่าธรรมเนียม 0-10 Sats ต่อครั้ง เท่านั้น และความเร็วที่โอน ก็เร็วเหมือนกับการส่งอีเมลหากันเลย ตัวอย่างที่มีการรวบรวมและแสดงเอาไว้ https://acceptlightning.com/map.html ในชีวิตจริง มีมากกว่านี้อีกมาก หรือว่า ร้าน Online เพียงบางส่วนที่ถูก list ก็มี https://lightningnetworkstores.com/
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า เรื่องการรับหรือไม่รับ เป็นเรื่องของร้านค้าเอง และการรับแลก Bitcoin เป็นสินค้ากับบริการ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในประเทศไทยแต่อย่างใด เพราะนั่นคือการแลกเปลี่ยนสินค้าบริการ กับทรัพย์สิน (Bitcoin ถือว่าเป็น สินทรัพย์ดิจิทัล ตามนิยามของหน่วยงานรัฐในหลายๆประเทศ) ลักษณะเดียวกับการทำ Barter ในสมัยโบราณนั่นเอง
ใช้เก็งกำไรอย่างเดียวเลย ไม่มีประโยชน์อื่นแล้ว
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : ยอมรับเถอะ ว่าคนที่ซื้อ Bitcoin ก็เป็นคนเก็งกำไรจาก Bitcoin เท่านั้น เพราะนั่นคือประโยชน์เดียว ที่มันมี
Bitcoin มีเป้าหมายเป็น เงินที่ดี
อาจจะหลงลืมไป ว่า Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมา เป็นเงินที่ดี อ้างอิงจาก Bitcoin Diploma 2024 ในหัวข้อ Function of Money https://github.com/MyFirstBitcoin/Bitcoin-Diploma-2024/blob/main/Web View/14.Chapter-2.md#22-function-of-money
อันประกอบไปด้วย
- เก็บรักษามูลค่า : เงินควรเก็บรักษามูลค่าได้ นับจากวันที่ได้รับมา จนถึงวันที่ได้ใช้ออกไป หรือว่าควรมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระยะยาว เพื่อให้เป็นแรงจูงใจ สำหรับการเก็บออมที่มากขึ้น
- เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน : เพื่อให้เกิดความสะดวกในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ไม่ต้องใช้ สินค้าบริการแลกกันตรงๆแบบ Barter เมื่อในอดีต ที่สร้างความไม่สะดวกสบาย ในหลายกรณีมากๆ
- เป็นหน่วยแสดงราคา หรือ มูลค่าของสินค้าและ บริการ : เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายว่า สินค้า หรือ บริการนั้น มีมูลค่าราคาเท่าไร
- การแตกเป็นหน่วยย่อยได้ : สิ่งหนึ่งที่เงิน หรือ ของที่เก็บมูลค่าหลายอย่างทำได้ยาก หรือไม่สะดวก คือการแตกหน่วยย่อย แต่ Bitcoin มีหน่วยย่อยที่สุดคือ 0.00000001 และสามารถแตกหน่วยย่อยเพิ่มได้ โดยที่ไม่กระทบระบบการทำงานของ Bitcoin อีกด้วย
ซึ่ง Bitcoin ก็เหมือนเงินอื่นๆ คือ ต่างต้องมีวิวัฒนาการเป็นของตัวเอง อย่างเงินที่เราใช้งานกันอยู่ปัจจุบัน ได้ถูกพัฒนามาในระดับร้อยปีแล้ว ดังนั้น พร้อมใช้งานแล้ว แต่เมื่อศึกษาลงไปลึกๆ เรากลับพบว่าเงินที่เราใช้งานกันในปัจจุบัน มีคุณสมบัติที่แย่ตามคุณสมบัติของเงินที่ดี เพราะ การเก็บรักษามูลค่าก็แย่ อันเนื่องมาจากมูลค่าลดลงอย่างต่อเนื่องตามวันเวลาที่ผ่านไป (เราจะเข้าใจในตัวเลขของเงินเฟ้อ) ซึ่งเป็นผลมาจากการพิมพ์เพิ่มขึ้นได้ง่าย ตามนโยบายการเงิน และ สภาพเศรษฐกิจ
การใช้ Bitcoin เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน ในตอนนี้ก็มี Bitcoin Lightning ให้ใช้งานได้เร็ว และ สะดวกมากแล้ว เรื่องนี้ ประเทศไทย อาจจะยังมองไม่เห็นประโยชน์มาก เพราะโอนหากันฟรีและเร็วมานานแล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่า การใช้งานฟรี และ เร็ว มีคนทีต้องจ่ายเงินแทนเราอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเค้าก็มาเรียกเก็บกับเราแบบทางอ้อมอีกที เช่น การขายประกัน, เก็บดอกเบี้ยแพง, จ่ายดอกเบี้ยต่ำ ฯลฯ
สำหรับการแสดงเป็นหน่วยแสดงราคานั้น ก็เพียงรอ network effect เพื่อให้คนรู้จัก และเข้าใจมากขึ้น ก็จะกลายเป็นหน่วยแสดงราคา ของสินค้าและบริการได้ ดังนั้น เราก็ต้องรอวิวัฒนาการของ Bitcoin โดยมีเวลา และ network effect เพิ่มเติม
สิ่งใดๆก็ใช้เก็งกำไรได้
ถ้าบอกว่า Bitcoin มีประโยชน์เพียงแค่เอาไว้ใช้เก็งกำไรเท่านั้น ก็ต้องบอกว่า สิ่งใดๆ เราก็เอามาใช้เก็งกำไรกันได้ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็น พระเครื่อง, ภาพวาด, เหล้าเก่า, กระเพาะปลา, อาหาร, กระเป๋า brand name และ อื่นๆอีกมากมาย ก็ล้วนแต่ใช้เก็งกำไรกันได้ทั้งหมด ดังนั้นการพูดแบบนั้น ก็ถือว่าถูกส่วนเดียว แต่ไม่ถูกทั้งหมด
การใช้ทรัพยากรที่เยอะของ BTC ในการขุดเหรียญ การยืนยัน Transaction
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : ปัจจุบัน มีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมาก ในการยืนยันธุรกรรม (อีกมุมหนึ่ง ก็คือการขุดเหรียญ) ซึ่งไม่คุ้มค่ากับทรัพยากรที่สูญเสียไปมาก ทำให้โลกร้อนขึ้น
Bitcoin ไม่สามารถแย่งใช้ไฟฟ้าแบบที่ครัวเรือนใช้ได้
โดยทั่วไป ผู้ที่ขุด Bitcoin ซึ่งอีกมุมหนึ่ง ก็คือเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ยืนยันธุรกรรมใน Bitcoin จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า เพื่อป้อนให้กับเครื่องขุด เพื่อทำการ สุ่มตัวเลข แทนค่า ในกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง ที่ network ยอมรับได้ โดยจะต้องใช้การสุ่มจำนวนมหาศาล ทำให้ต้องใช้พลังงานไปกับกระบวนการเหล่านั้นด้วย
โดยพลังงานไฟฟ้าที่ใช้นั้น เป็นไปได้ยากมากที่จะใช้พลังงานไฟฟ้าเหมือนอย่างที่ครัวเรือนต่างๆใช้งานกัน เพราะโดยทั่วไป พลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานกันตามครัวเรือนนั้น มีราคาแพงมาก ถ้าราคาไฟฟ้าที่แพง และ มีการใช้งานไฟฟ้าที่มาก ต้นทุนการขุด ก็จะสูงขึ้นมาก หากเราเป็นคนทำธุรกิจ เราต่างย่อมต้องการกำไร ดังนั้น ทางออกที่ถูกต้องคือ สร้างพลังงานไฟฟ้าราคาถูกขึ้นมาเป็นของตัวเอง หรือ มุ่งหน้าเข้าสู่แหล่งพลังงานใดๆ ที่ไม่มีครัวเรือนใช้งาน อันเนื่องมาจากความไม่เหมาะสม หรือ ไม่พร้อมใช้ใดๆก็ตาม ดังนั้นแท้จริงแล้ว Bitcoin ได้สร้างสภาวะแวดล้อมเพื่อให้โลกสะอาดมากขึ้น เพราะต้องหาแหล่งพลังงานสะอาด ราคาถูก หรือพลังงานเหลือทิ้งส่วนเกินให้เจอ ไม่ว่าจะอยู่ไกลจากผู้คนเพียงใดก็ตาม ถ้ามีเราสามารถนำ Bitcoin ไปดูดซับพลังงานเหล่านั้นได้ ขอแค่มี internet ไปถึง
ระบบการเงินปัจจุบัน ใช้พลังงานไฟฟ้าเหมือนอย่างที่ครัวเรือนใช้ เพราะอาคารสำนักงาน จำเป็นต้องตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน เพื่อให้ผู้คนเข้าถึง และใช้บริการได้ (เพราะยังอาศัยระบบการทำงานแบบ manual อยู่เป็นจำนวนมาก) ซึ่งสิ่งนี้ เป็นปัจจัยที่จะทำให้การบริโภคไฟฟ้าของประชาชนในภาพรวมสูงขึ้น และโลกก็ร้อนขึ้นได้มากกว่า และไม่มีทางจะใช้พลังงานจากแหล่งที่ห่างไกลผู้คนได้ เพราะไม่มีคนที่จะใช้บริการในพื้นที่เหล่านั้น โดยค่าใช้จ่ายของการบริโภคไฟฟ้านั้น ก็เก็บในค่าบริการทางการเงินจากประชาชนอีกที
ผู้ขุด Bitcoin ที่ใช้ทรัพยากรไฟฟ้าอย่างไม่คุ้มคุณค่า จะถูกลงโทษทันที
ต่อเนื่องจากข้อข้างบน หากผู้ขุด Bitcoin ใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างไม่คุ้มคุณค่า หรือ แย่งพลังงานจากครัวเรือนมาใช้งาน จะต้องถูกลงโทษทันที นั่นคือการขาดทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปัจจุบันระบบการแข่งขันของผู้ขุดนั้น ได้เป็นธุรกิจอย่างจริงจัง และมีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย ดังนั้นการไม่บริหารงานอย่างมืออาชีพ การไม่ใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มคุณค่า จะส่งผลให้กิจการต้องขาดทุนอย่างแน่นอน นั่นคือการลงโทษโดยทันที เพื่อให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากที่สุด
ระบบการเงินปัจจุบันผลาญทรัพยากรไม่น้อยกว่ากัน
Bitcoin เป็นระบบการเงินระดับโลก (จริงๆขยายไปในระดับนอกโลกก็ยังได้) ดังนั้นหากจะเปรียบเทียบ ให้ตรงกัน ก็ต้องเอา ธนาคาร + สถาบันการเงินต่างๆ + ผู้ให้บริการทางเงินที่ไม่ใช่ ธนาคารและสถาบันการเงินเช่น payment gateway ของทุกประเทศทั่วโลก มารวมกัน แล้วลองพิจารณาดูว่า มีตึกสำนักงานที่ต้องเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึง server ต่างๆ มากน้อยระดับใด และมีจำนวนพนักงานทั่วโลก ที่ต้องใช้เวลาเค้าเหล่านั้นในการทำงานมากน้อยเท่าไร ทั้งหมดเหล่านี้ คือตัวเปรียบเทียบที่พอจะเทียบเคียงกันได้ เพราะระบบเหล่านั้น คือผู้ที่รักษาให้ระบบธุรกรรมการเงินของทั้งโลกในปัจจุบันเคลื่อนที่ไปได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า จะใช้พลังงานที่สูงกว่าระบบการทำงานของ Bitcoin ทั้งระบบ ที่มีเพียงผู้ขุด และ node อันมาจากมุมใดๆของโลก ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าฟรี หรือ ราคาถูกอยู่นั่นเอง
โลกร้อน แท้จริงแล้วอาจะเป็นปรากฏการณ์ปกติของโลก
ทฤษฏีที่แพร่หลายกันมาอย่างยาวนานก็คือ ปริมาณ CO2 ของโลกที่เพิ่มขึ้น ทำให้โลกร้อนขึ้น ซึ่ง CO2 ก็มาจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์โลก ดังนั้น เราต้องหยุด หรือ ลดการใช้งานพลังงานต่างๆในทางที่สิ้นเปลืองลง เพื่อให้ CO2 ลดลงและโลกเราก็จะเย็นขึ้น
ความเป็นจริงคือ เมื่อ Covid-19 ที่ได้เข้ามาครอบงำทั้งโลก และ โลกก็หยุดความเคลื่อนไหวพร้อมๆกัน การเคลื่อนที่ย้ายถิ่นลดลง สายการบินต่างๆซึ่งถือว่าเป็นยานพาหนะที่ใช้ปริมาณเชื้อเพลิงการเผาใหม้ที่สูงมาก็หยุดตาม แต่โลกเรายังคงมี CO2 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นกราฟแบบปกติ เหมือนอย่างในอดีตอีกด้วย อ้างอิงจากรายงานของ NASA https://www.climate.gov/news-features/understanding-climate/climate-change-atmospheric-carbon-dioxide
ดังนั้น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้คิดว่า เรื่องที่เรารับรู้มานั้นอาจจะมีบางอย่างที่แตกต่างจากความเป็นจริงก็เป็นได้
อีกเรื่องที่น่าตลกก็คือ เหล่าผู้นำ ที่ไปประชุมกันเรื่องภาวะโลกร้อนทุกปีนั้นต่างก็นั่งเครื่องบิน private jet กัน และใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง และก็ไปแถลงถึงแนวทางที่จะหยุดโลกร้อนได้อย่างไร ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้อดจะคิดไปไม่ได้ว่า นี่คือการรวมหัวกันเพื่อกดขี่ประชาชน หรือ คนในประเทศที่ยังไม่เจริญ เพื่อให้ใช้ทรัพยากรเพื่อการพัฒนาประเทศชาติได้น้อยลงได้อย่างไร เพราะถ้าใช้ทรัพยากรต่างๆได้น้อยลง การพัฒนาต่างๆก็จะน้อยลงตามไป ความเจริญก็จะช้าลง โดยมีแนวความคิดเรื่องโลกร้อนเป็นเครื่องมือในการดำเนินการ และในเวลาอันไกล้ จะมี propaganda แบบไหน เพื่อให้และคนทั่วไปฟัง และก็เชื่อแบบนั้นจริงๆ และหลักฐาน งานวิจัยก็ขี้ ว่าพวกคนรวยนี่แหล่ะตัวดีเลยที่ทำให้โลกร้อนเท่ากับคนจน 66% อ้างอิง https://ngthai.com/environment/64343/richest-1-emission/ ดังนั้นเราก็สามารถคิดได้ว่า นี่กำลังถูกฉวยโอกาสเพื่อกดขี่คนจน จากคนรวยด้วยเรื่องโลกร้อนอยู่หรือไม่นะ
เรื่อง carbon credit ก็ด้วยเหมือนกัน ประเทศที่เจริญแล้ว ได้สร้าง token carbon credit ให้ประเทศที่กำลังพัฒนาจ่ายเงินเพื่อซื้อ สุดท้าย ประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ได้นำเข้าสินค้าที่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นผู้ผลิต โดยมี discount จาก carbon credit ที่ตัวเองเป็นคนสร้างแล้วก็ขายอีกที เพราะถ้าจะว่ากันตามตรง carbon credit ก็ไม่ใช่การแก้ไขที่ต้นเหตุเลย เพราะการมีขึ้นมาของ carbon credit ไม่ได้ช่วยให้โลกร้อนลดลง แต่คนรวยจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ต้องลดการใช้ทรัพยากรที่ฟุ่มเฟือยลงต่างหาก ถึงจะเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุจริง แต่เราก็เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ต่างแต่พยายามสร้างเครื่องมือมาเพื่อกดขี่ประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่แทน
วงจรโลกร้อน เย็น เป็นวงจรโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
หากไม่เคยได้ยินทฤษฎี Milankovitch ก็อยากให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดู เพื่อให้เข้าใจว่า แท้จริงแล้วโลกของเรา มีวงจร ร้อน เย็น ในระยะเวลาที่ยาวนานระดับหมื่นปีอยู่แล้ว และบังเอิญว่าเราก็มาอยู่ในวงจรที่ร้อนขึ้นพอดี เพราะวงจรที่ร้อนขึ้น ทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ เจริญเติบโต ขยายพันธ์ได้ดี และ มีอัตราการอยู่รอดที่มากกว่าความหนาวเย็น ที่แช่แข็งทุกอย่างแม้ในระดับ cell เราจึงได้มีชีวิตอยู่ในช่วงที่เป็นวงจรร้อนนี่แหล่ะ
ถ้าอยากช่วยโลกให้ร้อนน้อยลงกว่าปัจจุบัน ก็ต้องพยายามใช้ทรัพยากรต่างๆให้คุ้มค่ามากที่สุด เพราะยังไงเราทุกคนเกิดมาแล้วคงเลิกใช้ทรัพยากรไม่ได้ แต่การใช้อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุดต่างหาก ถึงจะเป็นทางออกอย่างยั่งยืน เลิกเชื่อเรื่องการสร้างหนี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ และ กลับมาใช้เงินที่มีจำกัด หรือสร้างหนี้เมื่อจำเป็น ไม่ใช่เพื่อความโลภ เพื่อให้ผู้คนได้พยายามรีดประสิทธิภาพของเงิน และ ทรัพยากรต่างๆออกมาให้มากที่สุด โดยการสร้างแต่ของดี มีคุณภาพ นั่นก็จะเป็นทางที่ช่วยโลกได้มากขึ้นเยอะแล้ว
บิทคอยน์ คือ ดิจิทัล ลวงโลก
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : ผู้สร้างคือ Satoshi ได้สร้าง Bitcoin ให้เป็นโครงการ Digital ลวงโลก ที่ถือว่าเป็น Biggest scam ever ที่จะสร้างความเสียหายระดับที่สูงสุด เท่าที่โลกเราเคยมีมา และ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสะสมพลัง และ ดึงดูดเงินเข้ามาใน Bitcoin เพื่อให้เกิดความเสียหายให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ และ สามารถมั่นใจ 100% ได้ยังไง ว่าคนที่สร้าง จะไม่มีหลังบ้านที่อยู่ๆ ก็ยัดเหรียญเพิ่มให้ตัวเองเข้าระบบมาแบบเงียบๆ หรือทีเดียวแบบทำลายล้างทุกอย่างไปเลย
Source code ทุกบรรทัด ไม่มีจุดให้ทำแบบนั้นได้
Bitcoin เป็น Technology ที่ทำงานบน Code program computer และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบัน อีกทั้ง source code ทุกบรรทัด ก็เปิดเผยทั้งหมด อยู่ใน Github https://github.com/bitcoin/bitcoin โดยปัจจุบันมีทีมงานช่วยกันพัฒนา สอดส่อง ดูแลหลักพันคนจากทั่วทั้งโลก ซึ่งถ้ามีโค้ดในจุดใดที่ทำงานแบบนั้นได้ ย่อมต้องมีคนเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วอย่างแน่นอน
เติมโค้ดทำลาย Bitcoin ได้ แต่กลุ่มคนที่พัฒนาต้องยอมรับก่อน
สมมุติเหตุการณ์มีคนเติมโค้ดเข้ามา เพื่อจะทำลายล้าง Bitcoin protocol คำถามแรกที่ต้องตอบให้ได้ ก็คือ ทำอย่างไรให้ developer กว่าพันคน ยอมรับโค้ดทำลายล้างนั้นเข้ามาใน Bitcoin ? เค้าจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร และเค้าจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนั้นกันบ้าง? นี่คือคำถาม ที่แทบจะไม่มีคำตอบเลยก็ว่าได้ หากว่าต้องว่าจ้างด้วยเงิน คิดว่าเงินแค่ไหนที่จะซื้อแต่ละคนได้ แล้วต้องซื้อด้วยเงินทั้งหมดเท่าไรกันล่ะ? และมั่นใจจริงๆหรือว่าจะไม่มีคนที่ไม่เพียงไม่ยอมรับ แต่กลับต่อต้านและเปิดโปงการกระทำในครั้งนั้น
ไม่มีแรงดึงดูดให้ต้องทำแบบนั้น
สมมุติ ว่าเราสามารถใช้เงินซื้อกลุ่มผู้พัฒนาได้แล้วทั้งหมดก็ตาม จะมีคำถามที่ตามมาอีก ก็คือ กลุ่มผู้ขุดซึ่งถือว่าเป็นคนละกลุ่มกับ Developer จะรับ source code นั้นมาเพื่ออะไร? ทำไมเค้าต้องทำลายธุรกิจที่เค้าได้ลงทุนไปด้วยล่ะ? การทำแบบนั้น เรียกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายพร้อมกันทางธุรกิจเลยอีกต่างหาก อาจจะมีบางรายที่คิดจะทำ เพราะอยู่ในสภาวะขาดทุน อาจจะยอมรับเงินก้อนสุดท้ายเพื่อแลกกับการทำลาย แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ หรือ ทุกเจ้าพร้อมใจกันทำอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อคนส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น ผู้ที่รับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นเข้ามาจะเป็นส่วนน้อย และส่งผลให้ไม่สำเร็จ เพราะการจะทำให้สำเร็จ ต้องใช้เสียงส่วนใหญ่เพื่อยืนยันธุรกรรมแบบใหม่ด้วย
จุดที่ยากที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ เราไม่สามารถบังคับ ให้ผู้ขุดจำนวนที่สูงเกินกว่าครึ่งนึง รับโค้ดที่มีการทำลายตัวเองเข้ามาได้ อีกทั้งเรายังไม่สามารถติดต่อเหล่าผู้ขุด ที่กระจายตัวเองอยู่ทั่วโลกได้อีกด้วย ดังนั้น แผนการนี้ดูเหมือนจะเป็นนิยาย ที่เหนือจินตนาการ แต่ไม่มีวันเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้เลย
อย่างน้อยที่สุด นักขุดรายย่อย ก็ยังคงเป็นอิสระออกจากระบบ เพราะนักขุดรายย่อยที่เลือกขุดแบบ solo ก็คือไม่เข้าร่วมแชร์กับ pool ใดๆ ในโลก ต่างเป็นอิสระ และไม่เปิดเผยตัวจากโลกใบนี้ แต่เค้าคือคนที่ยังติดตามข่าวสาร และผลักดัน Bitcoin อยู่อย่างเงียบๆ แม้ว่าการขุดของเค้าจะไม่ทำให้เค้าได้กำไร แต่อย่างน้อยเค้าก็มั่นใจได้ว่าการขุดของเค้านั้นมันได้ช่วยสร้างความแข็งแรงของ Bitcoin ได้อย่างไร และเมื่อวันหนึ่งถ้าเค้าโชคดีมากพอ เค้าก็จะสามารถปิด block Bitcoin เพื่อรับรางวัลเป็นค่าตอบแทนนั่นเอง แต่อย่างไรก็ดี เป้าหมายกำไร อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เค้ามองหาอยู่แต่อย่างใด
ทำไปเพื่ออะไร?
การทำแบบนั้น สุดท้าย Bitcoin ก็สิ้นมูลค่า ลงไปจนใกล้ 0 เพราะไม่มีคนต้องการเก็บเอาไว้อีกแล้ว แล้วจะทำแบบนั้นไปเพื่อะไร สร้างขึ้นมา แล้วทำลายทิ้ง วิธีการทำลาย ก็แทบเป็นไปไม่ได้แล้ว ถ้ามาคิดเรื่องผลประโยชน์ยิ่งเป็นไปไม่ได้อีก เหมือนเราได้ทุ่มเท สร้างกิจการระดับโลกขึ้นมาเป็นเวลา สิบกว่าปี เพื่อที่มีเป้าหมายจะทำลายทิ้งในปีที่ 21 แล้วประโยชน์ของการทำแบบนั้นคืออะไร
คนเราทุกคนมีด้านดีอยู่ในตัว และจริงๆแล้วการอยู่ร่วมในระดับสังคมนั้น การทำสิ่งที่ดีและเปิดเผย ย่อมเป็นเรื่องที่สร้างความน่าภาคภูมิใจได้มากกว่าการทำเรื่องที่เลวร้ายมาก เพราะนั้นคือพื้นฐานของจิตใจมนุษย์
Satoshi อยากเป็นบุคคลที่รวยระดับโลก
ปัจจุบัน มีความเชื่อว่า Satoshi น่าจะไม่มีตัวตนจริง หรือว่า เป็นคนที่ตั้งใจหายไปจากโลกใบนี้ เพราะหากยังมีชีวิตอยู่ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่า น่าจะมีคนหมายหัว มีค่าตัวสูงมากทีเดียว หรือไม่ก็จะต้องถูกจับ อย่างในกรณีของ Douglas Jackson ผู้สร้าง e-gold ที่ตั้งใจจะให้เป็นเงินที่ทุกคนสามารถใช้งานส่งกับได้ทาง online โดยมีทองคำเป็นตัวค้ำประกัน token e-gold ทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ถูกจับ และตั้งข้อหา รวมทั้งกิจการ e-gold ทั้งหมด ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ อ้างอิงจาก https://satuser.gitbook.io/the-genesis-book-th-beta-841321
หรือว่า กรณีที่ผู้พัฒนา decentralize application ที่ช่วยให้การโอนเงินหากัน มีความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลมากขึ้น ก็ถูกจับและ ตั้งข้อหา ไม่ว่าจะเป็น Tornado cash https://www.coindesk.com/policy/2023/08/23/tornado-cash-devs-arrested-on-money-laundering-sanctions-violation-grounds-over-alleged-1b-moved/ โดยถูกกล่าวว่าให้ความช่วยเหลือ hacker ในการฟอกเงินผ่าน protocol ที่เค้าสร้างขึ้น ทั้งที่แท้จริงแล้ว protocol ที่เค้าสร้างขึ้นมา เปิดกว้างให้ใครใช้งานก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ในเมื่อ ผู้ที่ถืออำนาจ ไม่สามารถจับผู้กระทำความผิดตัวจริงได้ ก็จับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงในการกระทำความผิดจะเป็นการง่ายกว่า เหมือนประมาณว่า โจรใช้มีดเพื่อไปปล้น แต่รัฐจับโจรไม่ได้ งั้นจับผู้ผลิตมีดดีกว่า จะได้ไม่ต้องผลิตมีดขึ้นมาอีก แต่มีด ก็ไม่ได้มีเพื่อให้โจรใช้อย่างเดียว และ ล่าสุด ในปี 2024 นี้ ก็คือ การจับกุมตัวผู้พัฒนา Samurai wallet และตั้งข้อหา ในแนวทางเดียวกับผู้พัฒนา Tornado cash ด้วยเช่นกัน https://www.coindesk.com/policy/2024/04/24/samourai-wallet-founders-arrested-and-charged-with-money-laundering/ นี่คือสิ่งที่รัฐเริ่มทำ เพราะไม่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับโจรตัวจริง แต่จับผู้ที่ผลิตเครื่องมือแทน ดังนั้น หาก Satoshi ยังคงอยู่ แน่นอนว่า เค้าจะต้องโดนจับกุม และ ตั้งข้อหาได้ในเวลาไม่นาน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่รัฐจะใช้อำนาจทำ ดังความจริงที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
เพราะการเกิดขึ้นของ Bitcoin ส่งผลให้โลกการเงินแบบอดีต จนถึงปัจจุบัน ได้รับผลกระทบในเชิงเป็นผู้เสียผลประโยชน์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจน ก็คือ ตลาดการค้าทองคำ และตลาดหุ้น แบบดั้งเดิม ที่สูญเสียมูลค่า เงินลงทุนไปมาก เพราะคนรุ่นใหม่หันไปลงทุนใน Cryptocurrency แทน
และถึงต่อให้ Satoshi เค้ามีตัวตนจริง แต่เค้าก็มีเพียง 1 ล้าน Bitcoin เท่านั้น ซึ่งถ้าเค้าขายมาเพื่อใช้งาน มันก็จะหมดจากมือเค้า เพราะเค้าก็ต้องทำงานภายใต้ข้อกำหนดเดียวกัน ก็คือไม่สามารถสร้างใหม่ได้อีก หากไม่ขุด หรือ ซื้อมาเพิ่ม และ 1 ล้าน Bitcoin นั้นก็จะกลับเข้ามาหมุนเวียนในตลาดในลำดับต่อไป กระจายตัวให้บุคคลอื่นได้เข้าซื้อและถือต่อไป จากนั้นทุกอย่างก็เดินหน้าต่อไปตามปกติ เท่านั้นเอง
ทองยังมีอรรถประโยชน์อื่น คือ เครื่องประดับแต่ Bitcoin ไม่มี
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : ทองเป็นโลหะ ที่นอกเหนือจากการเก็บรักษามูลค่าในตัวเองแล้ว ยังสามารถเอามาใช้งานเป็นเครื่องประดับได้
การโอนมูลค่าผ่าน Internet
ทองมีข้อเสียที่สำคัญก็คือ การโอนมูลค่าข้ามระยะทาง ทำได้ยาก และต้องใช้ต้นทุนแพงมาก แต่กับ Bitcoin มีอรรถประโยชน์ที่สามารถใช้โอนมูลค่า ข้ามผ่านระยะทางรอบโลกได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที นอกเหนือจากนั้นยังใช้โอนมูลค่าออกไปนอกโลกหรือไปดาวดวงอื่นได้ด้วยผ่านทางการสื่อสารแบบ Digital (ถ้าต้องการ) ซึ่งทองคำไม่สามารถมีอรรถประโยชน์ในรูปแบบนี้ได้ (โดยไม่มีตัวกลาง) หรือ การเคลื่อนย้าย ก็ไม่สามารถทำได้ด้วยต้นทุนราคาถูก เมื่อเทียบกับ Bitcoin
Bitcoin สามารถโอนมูลค่าหากันผ่านทาง internet โดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง และรับรองได้ว่า ถึงมือผู้รับอย่างแน่นอน โดยไม่มีใครสามารถ แทรกแซง ยับยั้งการส่งมอบในครั้งนั้นได้เลย ถือว่าเป็นอรรถประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ที่โลกของเราไม่เคยมีสิ่งนี้ขึ้นมาก่อน
การไม่มีใครควบคุม (แม้ว่าจะพยายาม ก็ทำไม่ได้)
Bitcoin ไม่สามารถถูกควบคุมโดยหน่วยงาน หรือ ประเทศใดๆที่ต้องการควบคุม แม้ปัจจุบัน เราได้ยินว่าบางประเทศ มีการแบน Bitcoin อย่างเช่น ประเทศจีน ที่กระกาศห้ามซื้อขาย Bitcoin มานานหลายปีแล้ว แต่ความเป็นจริงคือ ประเทศจีน มีเหมืองจุด Bitcoin อันดับหนึ่งของโลก อ้างอิงจาก https://hashrateindex.com/hashrate/pools และเท่าที่ได้คุยกับคนจีน ก็มีคนจีนบางส่วน ที่เป็นเจ้าของและครอบครอง Bitcoin อยู่ เค้าก็พูดตรงกันนะ ว่ารัฐบาลก็สั่งห้ามนั่นแหล่ะ และถ้าเป็นคนที่เกรงกลัวกฎหมายมากๆ เค้าก็จะไม่มี Bitcoin กัน แต่ในชีวิตจริง การที่จะหามาครอบครอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป อีกทั้งการตรวจสอบ และยึดอายัดจากทางรัฐบาลจีนนั้น ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ทองคำ เป็นสิ่งที่กฎหมายการครอบครอง และ เคลื่อนย้ายมาตั้งแต่อดีต ที่รัฐตั้งใจสร้างกำแพงของแต่ละประเทศขึ้นมา เพื่อยับยั้ง และ ลดจำนวนการขนถ่ายผ่านข้ามประเทศ โดยเรียกได้ว่าทุกประเทศในปัจจุบัน ต่างมีกฎหมายควบคุมการ นำเข้า ส่งออก ทองคำ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้มีอิสระ ในการขนย้ายความมั่งคั่งของตัวเองไปยังต่างประเทศ อย่างประเทศไทยเอง ก็มีกฎหมายนี้บังคับใช้มาตั้งแต่ 2494 แล้ว อ้างอิงจาก https://www.dft.go.th/th-th/DFT-Service/Data-Service-Information/ProductMeasure-Import-Export/Detail-ProductMeasure-Import-Export/ArticleId/692/692 และการจะแอบขนย้ายทองคำ ที่มีขนาดใหญ่ ก็เสี่ยงต่อการถูกยึดอายัด ได้ง่ายดายมากๆ เพราะด้วยความที่จับต้องได้นี่แหล่ะ เลยทำการขนย้ายแบบไม่ให้โดนจับได้เป็นไปได้ยาก และมีการกวดขัน จับกุมอย่างจริงจัง ตามหน้าข่าวต่างๆ อ้างอิง https://mgronline.com/crime/detail/9570000074500 และ https://www.pptvhd36.com/news/ประเด็นร้อน/110014
และจากตัวอย่างบน ที่มีผู้พยายามจะขนย้ายทองคำหนักหลายกิโลกรัมและถูกจับนั้น เมื่อตีเป็นมูลค่าเงิน ก็มีมูลค่าหลักสิบล้านบาทเท่านั้น แต่กับ Bitcoin สามารถขนย้ายไปได้ไม่จำกัดมูลค่า โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุอะไรในการเคลื่อนย้ายเลยแม้แต่อย่างเดียว ก็ต้องถือว่าเป็นอีกหนึ่งอรรถประโยชน์ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว การที่คุณได้ครอบครองความมั่งคั่ง ที่เป็นของคุณอย่างแท้จริง ทนทานต่อการแทรกแซง และ ถูกยึด รวมทั้งตรวจสอบความเป็นเจ้าของการกครอบครองได้ยาก แต่ว่าสามารถยืนยันความเป็นเจ้าของเมื่อต้องการจะใช้งานทำได้ง่าย นี่คืออรรถประโยชน์อีกหนึ่งอัน ที่ทองคำหรือที่ดินก็ไม่สามารถให้เราได้
การแตกเป็นหน่วยย่อยได้ง่าย
Bitcoin มีจำนวน 21 ล้าน bitcoin และปัจจุบัน มีหน่วยย่อย ของแต่ละ bitcoin อีกนับได้เป็นทศนิยม 8 ตำแหน่ง นั่นหมายความว่า 1 Bitcoin สามารถมีหน่วยย่อยได้มากขึ้น 100 ล้านหน่วยย่อย (เรียกว่า satoshi) ดังนั้น รวมเข้ากับ 21 ล้านของ Bitcoin จึงมากเพียงพอที่จะใช้งานกันได้โดยไม่ติดขัด และยังไม่พอเท่านั้น หากว่ามีความจะเป็นต้องกระจายตัวที่มากขึ้น ก็เพียงเพิ่มทศนิยมเข้าไป จาก 8 อาจจะเป็น 10 ตำแหน่ง หรือมากกว่านั้นก็ได้เช่นกัน โดยไม่ได้กระทบกับมูลค่าที่มีอยู่เดิม เพราะ 1 bitcoin จะยังเป็น 1 bitcoin เท่าเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือ การแบ่งส่วนย่อยที่สุดเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น เหมือน 1 บาท ปัจจุบันเรามี 100 สตางค์ แต่อนาคตเราสามารถเพิ่มเป็น 1 บาท ให้มี 10,000 สตางค์ ก็ได้ โดยที่ยังรวมกลับมาเป็น 1 บาท เท่าเดิม แต่ว่าการจะทำให้เกิด 10,000 สตางค์ในเงิน Fiat นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องสร้างเหรียญ 1 สตางค์ขึ้นมาใหม่ และ หน่วยอื่นๆเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้สามารถใช้ในหน่วยย่อยได้อย่างที่ต้องการ แต่ว่า Bitcoin เพียงแต่แก้ไขโค้ด และ update นิดหน่อย และเมื่อผู้คนส่วนใหญ่นำไปใช้งาน ก็เกิดขึ้นได้แล้ว
แต่ทองคำ ไม่สามารถแบ่งส่วนได้โดยง่าย ต้องมีพลังงาน(ความร้อน) เพื่อใช้ในการหลอมละลายทองคำ ให้ออกมาเป็นขนาดที่เล็กลง อีกทั้งการกำหนดขนาดของทองคำที่อยากได้ก็ทำได้ยาก เป็นกระบวนการที่ต้องใช้พลังงาน และ เวลาเพื่อให้ได้ทองคำขนาดเล็กตามที่กำหนด อีกทั้ง เมื่อแตกหน่วยย่อยมาก เมื่อนำไปขายตามท้องตลาด ราคาก็จะตกลง เมื่อเทียบกับทองคำแท่งที่เป็นขนาดใหญ่อีกด้วย ทำให้คุณสมบัติการแตกหน่วยย่อยของเงินนั้น ทำงานได้ไม่ดี ทั้งที่เป็นทองคำชนิดเดียวกัน หนักเท่าๆกันก็ตาม กลายเป็นการสูญเสียมูลค่า หลังจากการแตกหน่วยย่อยลงไป แต่กับ Bitcoin ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะความตรงไปตรงมาของคณิตศาสตร์ต่างทำให้เราพิสูจน์ได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มี Bias ใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
การพิสูจน์ความเป็นจริงได้ง่าย
bitcoin ทุก sats หรือ ทุกหน่วยย่อยใน Bitcoin network เป็นของจริงเสมอ เพราะไม่มีใครแอบสร้าง bitcoin ปลอมขึ้นมารันใน Bitcoin network ได้ และไม่มีการถูกทำลายไปได้ มีแต่การหมุนเวียนวนไปมาในจำนวนเท่าเดิมเท่านั้น ดังนั้น การพิสูจน์จึงง่าย เพียงแค่เปิด blockchain explorer ขึ้นมาเพื่อดูจำนวน bitcoin ที่ปรากฏในกระเป๋านั้นๆเท่านั้น เราก็จะเชื่อได้เลย ว่านั่นคือ bitcoin ของจริง หรือถ้าเราอยากจะเชื่อ โดยมีขั้นตอนการตรวจสอบที่ยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แต่มั่นใจได้อย่าง 100% ก็เพียงแค่ download software bitcoin node ซึ่งสามารถทำงานได้โดย computer ที่ใช้งานตามบ้านทั่วๆไป แล้ว sync ข้อมูล on chain data ให้เท่าทันกับ block ปัจจุบัน เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถตรวจสอบ bitcoin ที่แท้จริง ของกระเป๋าใดๆใน Bitcoin network ได้อย่างง่ายดายแล้ว และมั่นใจได้อย่างที่สุด เพราะเราเป็นเจ้าของ bitcoin network ด้วยตัวของเราเอง
แต่ทองคำ ต้องอาศัยเทคนิคชั้นสูง เพราะปัจจุบันการปลอมทองคำ ต่างมีวิธีการที่แยบยลมากขึ้น ใช้สารประกอบต่างๆ และเทคนิคต่างๆ ที่ทำให้ตรวจสอบได้ยากมากขึ้นกว่าในอดีตมาก ดังที่เราจะได้เห็นวิธีการปลอมทองคำ เพื่อไปขายร้านทอง และ ร้านทองซึ่งมีเทคนิคการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ก็ยังตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพพวกนี้อยู่อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นว่า ทองคำมีข้อจำกัด และ ความยากในการตรวจพิสูจน์ความเป็นจริงอยู่ในตัวเอง ร้านทองที่ว่าทำเป็นอาชีพ ยังโดนหลอกได้ อ้างอิง https://www.infoquest.co.th/2024/381045
ทั้งหมดนี้ คืออรรถประโยชน์อื่น ที่ทองคำต่างพ่ายแพ้ หรือ ไม่มีเลยในหลายหัวข้อ ดังนั้น ก็ถือได้ว่า อรรถประโยชน์ของ Bitcoin นั่นก็มีอยู่มากมายเช่นกัน
คนเข้าไปขุด โดนหลอกให้มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเพื่อช่วยกันทำให้คริปโตฯ นั้นๆ ยังอยู่ได้
ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : คนที่เข้ามาขุด เพื่อหวังจะได้รับ reward เป็น coin เช่น Bitcoin ต่างก็ถูกหลอก เพื่อให้มาเป็นส่วนหนึ่ง crypto สกุลนั้นๆ และเพราะมีคนขุด ก็จะเป็นคนที่ช่วยรักษาให้ network นั้นอยู่ต่อไปได้
ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์
เข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคนที่เข้ามาขุด ต่างเป็นคนทำให้ network นั้นๆ ทำงานอยู่ต่อไปได้ เพราะถ้าวันที่ Bitcoin network ไม่มีกำลังขุดเลย ก็กล่าวได้ว่า นั่นคือวันที่ Bitcoin network ได้ล่มสลายแล้ว ก็ไม่ผิดนัก และการที่ยังมีคนเข้ามาขุดอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าเป็นการสร้าง network effect ให้แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย และ network effect นี้ ไม่ใช่ของฟรี ดังนั้น network ก็ต้องมีอะไรเป็นการตอบแทนให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมสร้าง network effect ด้วย และในทางกลับกัน ผู้ที่เข้ามาร่วมขุด ต่างก็ได้รับรางวัลจากการเข้ามาร่วมสร้าง network effect นั้นด้วยเป็นการตอบแทน ดังนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการตกลงแลกเปลี่ยนสิ่งที่มีมูลค่าของทั้งสองฝั่งแก่กันและกัน ดังนั้น ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย และเป็นไปด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครหลอกใคร และนี่ก็คือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ที่มนุษย์เราใช้กันมาตั้งแต่อดีตเลย ก่อนที่จะมีเงินขึ้นมาเสียอีก ก็ไม่เรียกว่าถูกหลอกได้อย่างแน่นอน
ทุกคนมีอิสระในการเลือก
ข้อที่แตกต่าง จากการหลอกคนอื่นมา ก็คือ ทุกคนมีอิสระในการเข้า และ ออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของ Bitcoin ได้ตลอดเวลา เพราะการลงทุนขุดไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์พิเศษ หรือ มีการลงทุนพิเศษ ก็สามารถใช้ computer / notebook เริ่มต้นขุดได้เลย (เพียงแต่ประสิทธิภาพจะต่ำมาก) เรียกได้ว่า เกือบจะไม่มีกำแพงในการเข้าร่วมเลยก็ว่าได้ และเพียงแค่ตัดสินใจปิดโปรแกรม เลิกขุด ก็ถือว่าได้ออกจากระบบ network นั้นทันทีเช่นกัน ดังนั้น ไม่มีการโดนหลอก มีแต่ความเต็มใจที่จะเลือกอยู่หรือไป ไม่ต้องวางเงิน ไม่ต้องลงทุน ไม่มีการ lock เวลาอะไรใดๆ ทุกคนมีอิสระในการเลือกทางเลือกเป็นของตัวเอง
อิสระในการเลือก และ ผู้เลือกต่างได้เลือกตามแนวทางของตัวเอง และ พร้อมที่จะออกได้ตลอดเวลาโดยไม่มีใครบังคับอะไรได้ ฟังดูแล้วช่างห่างไกลกับการโดนหลอกมากทีเดียว
และนี่ ก็คือ Episode 2 สำหรับเนื้อหา Understanding Bitcoin: Challenges and Misconceptions ยังมีความเข้าใจผิดอีกมากที่จะมาอธิบายกันต่อใน Episode หน้า ที่จะเป็น Episode สุดท้าย ขอให้ติดตามกันต่อไปได้เลย