Understanding Bitcoin: Challenges and Misconceptions

ปัญหาของ Bitcoin (และคำอธิบาย) Episode 3

Episode 3

Bitcoin เป็น สินทรัพย์ดิจิทัลตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นมา บน Technology Blockchain ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีความแข็งแรงมากที่สุด ในหลายๆแง่มุม ทั้งในเรื่องของ Technology และขั้นตอนการทำงาน รวมไปถึง นโยบายทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง แต่อย่างไรก็ดี เรามักจะได้ยินปัญหาในแง่มุมต่างๆของ Bitcoin กันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบ้างก็เป็นความเข้าใจผิดในรายละเอียด หรือ บ้างปัญหาก็เป็นการตีความผิด หรือ ยังมองไม่ครบทุกแง่มุม ดังนั้น วันนี้ จะมาอธิบายปัญหาต่างๆ ของ Bitcoin กันทีละประเด็น เพื่อให้เข้าใจกันมากขึ้น รวมทั้ง ทางออก หรือ สิ่งที่ Bitcoin ได้แก้ไข หรือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าปัญหาเหล่านั้น ยังเป็นปัญหาอยู่จริงหรือไม่

โดยแนวทางของเนื้อหา ก็คือ จะขึ้นหัวข้อด้วย ปัญหา หรือ ความเข้าใจผิดต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน พร้อมคำอธิบายว่าปัญหานั้นเค้ามีความเข้าใจอย่างไร หรือ ติดขัดในประเด็นใด จากนั้น หัวข้อย่อย ก็จะเป็นการอธิบาย หรือ แจงปัญหานั้น เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น

Bitcoin : หมายถึง Bitcoin network หรือ ระบบของ Bitcoin เน้นที่เรื่องระบบ
bitcoin : หมายถึง จำนวน bitcoin หรือหน่วยของ bitcoin เน้นที่เรื่องจำนวน

เนื้อหานี้ เป็น Episode ที่ 3 ต่อเนื่องจากเนื้อหาใน Episode ที่ 2 เพราะยังมีความเข้าใจผิดอีกหลายเรื่อง ที่ควรแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อความเข้าใจในสินทรัพย์ตัวนี้ให้มากขึ้น

อัตราการขุดได้เหรียญจะลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ network ลดความแข็งแรงลงเรื่อยๆ

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : Bitcoin จะมีการ halving ทุกๆ 4 ปี โดยประมาณ และการ halving นั้น จะมีการแจกเหรียญ เพื่อเป็น reward สำหรับผู้ที่ปิด block ได้ ลดลงเหลือครึ่งเดียวจากช่วงก่อนหน้า แบบนี้ ทำให้ความน่าสนใจในการขุด ลดลง เพราะกำไรต่ำลง และ หลังจากนั้น คนก็จะเลิกขุดมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้ Bitcoin อ่อนแอลงในอนาคต

ความเป็นจริง ตรงกันข้าม

ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน หากเราดูแนวโน้มอัตรากำลังขุดของ Bitcoin ที่ได้ผ่าน halving มาแล้ว 4 รอบ (รอบล่าสุด คือ เมษายน 2024) จะเห็นได้ว่า ในระยะยาว กำลังขุด มีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับการแจกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อ้างอิง https://www.blockchain.com/explorer/charts/hash-rate

ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ Technology ที่ใช้ในการสร้างเครื่องขุด มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้สามารถมีกำลังขุดได้มากขึ้น โดยยังคงใช้พลังงานเท่าเดิม หรือ น้อยลง สิ่งนี้ถือว่าเป็นการพัฒนาตัวเองรูปแบบหนึ่งของ Bitcoin ด้วยเหมือนกัน ก็คือ มีการใช้ Ecosystem ในการพัฒนา technology การผลิต โดย Bitcoin network เองไม่ต้องไปจ้างให้บริษัทไหนผลิต หรือ วิจัย แต่ว่าการแข่งขันกันในตลาดของผู้ขุด ถูกใช้เป็นแรงผลักดันตามธรรมชาติ เพื่อให้คนสร้างสรรค์ technology ที่ดีเหล่านี้ขึ้นมา กำลังขุดเลยมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเวลาที่ผ่านไป

รางวัลของผู้ขุด ไม่ได้มีแต่ reward จากระบบอย่างเดียว

ปกติแล้ว ผู้ขุด จะได้รับรางวัลจากการปิด block นั้นๆ ได้ประกอบมาจากสองส่วน

  • ส่วนแรก คือ Block subsidy ที่เป็น bitcoin ใหม่ที่ Bitcoin network มอบให้ผู้ขุด โดยส่วนนี้ มาจาก Bitcoin network ได้สร้างขึ้นมาใหม่ ในข้อกำหนดจะสร้างได้สูงสุดไม่เกิน 21 ล้านเหรียญ
  • ส่วนสอง คือ transaction fee เวลาที่ใครจะสร้างธุรกรรมใน Bitcoin จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียม ในการทำธุรกรรมด้วย ซึ่งค่าธรรมเนียมสำหรับการทำธุรกรรมนั้น ก็คือรางวัลของผู้ขุดได้ในส่วนที่สองนี้

และเมื่อรวม reward ทั้งสองส่วนแล้ว ก็จะส่งมอบให้ผู้ที่ปิด block นั้นๆได้ โดยไม่มีใครที่หักหัวคิว หรือ ค่าธรรมเนียมอะไรอีก (เว้นแต่การขุดกับ Pool ที่เจ้าของ pool จะรวบกำลังขุดของทุกคนเข้าไว้ แล้วขุดในนาม Pool เมื่อได้รางวัล ก็จะเอามาแบ่งกัน และมีการหักหัวคิวไว้บางส่วน) การทำแบบนี้ ก็เพื่อให้มั่นใจได้ว่า อนาคต รางวัลของผู้ขุด ที่เกิดจาก transaction fee จะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเยอะเกินกว่า block subsidy ในวันหนึ่ง และ เป็นเครื่องการันตีว่า Bitcoin network จะยังแข็งแรงได้ต่อไป แม้ว่าผู้ขุดจะไม่ได้รับรางวัลจาก block subsidy แล้วก็ตาม

ชักกะเย่อ

เมื่อมีการลดลงของกำลังขุด จะเกิดเหตุการณ์จะไล่เรียงไปตามนี้ เหมือนเป็นการชักกะเย่อกัน ระหว่างการขุด กับเลิกขุด โดยกำหนดให้ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขึ้นหรือลงเลย ในตลอดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้

  1. เมื่อมีการ halving ทำให้ block subsidy ลดลง
  2. ผู้ขุด จะได้รับกำไรลดลง หรือกลับเป็นขาดทุน
  3. ผู้ขุด ที่ขาดทุน จะเลิกขุด
  4. ผู้ขุดที่ยังขุดอยู่ จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น แปลว่า ได้รายได้เพิ่มมากขึ้น เพราะคนแย่งกันน้อยลง
  5. ระบบจะปรับความยากในการขุด ตามกำลังขุด ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านไป หากกำลงขุดลดลง ขุดเจอ block ใหม่นานขึ้น ก็จะปรับความยากลดลง
  6. ความยากลดลง ทำให้ขุดเจอ block ใหม่ได้เร็วขึ้น แปลว่า ได้รายได้เพิ่มขึ้น(เมื่อเทียบกับเวลา) แม้กำลังขุดของตัวเองมีเท่าเดิม
  7. ผู้ที่หยุดขุดไปก่อนแล้ว จะเริ่มมีโอกาสกลับเข้ามา เพราะตรวจสอบพบว่า รายได้จากการขุดเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยกำลังขุดที่เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน
  8. จะมีการเปิดเครื่องขุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วทุกอย่าง จะย้อนไปเริ่มต้นที่ข้อ 2 ถึง 7 ใหม่อีกครั้งไปเรื่อยๆ ในทิศทางตรงกันข้าม จนระบบจะเกิดความสมดุลย์ได้เอง

จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ นี่คือการปรับสมดุลย์ของ network โดยอัตโนมัติ ไม่ว่ากำลังขุดจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ต่างมีการนำเอา game theory เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดความโลภ ความกลัว จากกำไรและขาดทุนได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปตามธรรมชาติ โดยทั้งหมดไม่มีคน ที่มีอำนาจควบคุม แต่เป็นกลไกที่ทำงานตามโค้ดทั้งหมดเพียงอย่างเดียว

นอกเหนือจากนี้ หากราคา Bitcoin ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือว่า มี transaction fee ที่เพิ่มมากขึ้น จะถือว่าเป็น reward ส่วนเพิ่ม และ แรงจูงใจเพื่อดึงให้คนที่เลิกขุดกลับเข้ามาขุดอีกครั้งได้เร็วมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็จะทำให้ Bitcoin มีอายุอยู่นานขึ้นโดยยังคงความแข็งแรงของ network เอาไว้ได้

ไม่ต่างจากแชร์ลูกโซ่เท่าไหร่เลย

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : Bitcoin มีพฤติกรรม เหมือนแชร์ลูกโซ่เลย คือต้องหาคนใหม่เข้ามารู้จักให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อมาซื้อ และทำให้ราคาสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสุดท้ายก็จะจบแบบเดียวกับแชร์ลูกโซ่วงใหญ่ระดับโลก

Bitcoin ไม่มีอะไรที่เข้าคุณสมบัติแชร์ลูกโซ่เลย

โดยทั่วไปแล้ว แชร์ลูกโซ่ จะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  • สัญญาผลตอบแทนสูง : Bitcoin สร้างขึ้นมาเป็นเงิน และคุณสมบัติของเงิน จะไม่มีผลตอบแทน (Yield) ดังนั้น ถ้าเราซื้อมา แล้วถือเอาไว้เฉยๆ จะไม่เกิดผลตอบแทนอะไรแต่อย่างใด จำนวน Bitcoin จะไม่เพิ่ม และไม่มีใครจ่ายดอกเบี้ยจากการถือครองนั้นๆด้วย
  • ใช้เงินจากนักลงทุนใหม่จ่ายให้นักลงทุนเก่า : Bitcoin ไม่มีการเอาเงินคนใหม่ ไปจ่ายให้คนเก่า เพราะคนที่ได้ bitcoin มาครอบครอง ต่างก็มีการลงทุน ขุด หรือ ซื้อ ให้ตัวเองด้วยกันทั้งนั้น เพื่อให้ได้ bitcoin มา ลำพังแค่หัวข้อนี้อย่างเดียว อาจจะไม่ถือว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ได้ ไม่อย่างนั้น ธนาคาร ก็จะถือว่าเป็นขบวนการแชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน เพราะฝากเงินมาก่อนในอดีต เมื่อวันที่เราจะไปถอนเงิน ธนาคารจะเอาเงินของคนอื่นที่มาฝากทีหลังจ่ายคืนเราด้วยอีกที
  • ขาดแหล่งรายได้ที่แท้จริง : Bitcoin ไม่จำเป็นต้องมีแหล่งรายได้ เพราะ Bitcoin ไม่มีการจ่ายปันผล หรือ ผลตอบแทนใดๆให้กับผู้ครอบครองแต่อย่างใด แต่มีการจ่ายรางวัล ให้กับคนที่มาช่วยรักษา network ให้แข็งแรง ก็คือผู้ที่ขุดนั่นเอง Bitcoin ไม่เคยต้องไปลงทุนในโครงการอะไร เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับโครงการเลย ก็อยู่รอดได้จนถึงปัจจุบัน โดยมีเวลาสิบกว่าปีเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะโดยปกติโครงการแชร์ลูกโซ่ มักจะล่มสลายในเวลาไม่เกิน 3 ปี เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็ก หรือ ใหญ่เพียงใดก็ตาม
  • ล่มสลายเมื่อขาดนักลงทุนใหม่ : Bitcoin จะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะขอเพียงแค่มีนักขุด กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนึง ที่ยังขุด bitcoin ต่อไป เพื่อรักษาการทำงานของ sound money เอาไว้ แม้ว่าเค้าจะไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ เหมือนในช่วงแรกที่ Bitcoin เริ่มต้น และมีคนกลุ่มเล็กๆ ที่รัน node เพื่อตรวจสอบข้อมูลของ Bitcoin ที่ปัจจุบันก็มีการรันเป็นหมื่น node ทั่วโลกโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนอะไรอยู่แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่เค้าจะหยุดการกระทำนั้น เพียงสององค์ประกอบนี้ bitcoin ก็จะยังเดินหน้าต่อไปได้ต่อไป ไม่ล่มสลาย แม้ว่าจะไม่มีใครซื้อ bitcoin เพิ่มเติมแล้วก็ตาม

Network effect ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่

การที่ทำให้ผู้คนรู้จัก และ เข้าใจเกี่ยวกับ Bitcoin มากขึ้นนั้น ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด ถ้าคิดว่าสิ่งนั้นเป็นกิจกรรมของแชร์ลูกโซ่ การแนะนำให้ผู้คนรู้จัก และใช้งาน Facebook ในช่วงแรก หรือว่า Paypal ในช่วงแรก ก็อาจจะถือว่าเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราต่างรู้ว่านั่นไม่ใช่แชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด

เป็นแชร์ลูกโซ่แต่รัฐบาลหลายประเทศมองไม่เห็น?

กว่าสิบปี จนถึงวันนี้ ยังไม่มีประเทศไหน ที่ออกมาบอกว่า Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด ทั้ง SEC (กลต ของ USA) และ กลต ของไทย ต่างจะมองไม่เห็นจริงหรือ หากว่า Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่ อีกทั้ง ยังมีการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องออกมา เพื่อกำหนดแนวทางกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แทนที่จะห้ามประชาชนเข้าไปยุ่งเกี่ยว และประกาศว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย นั่นก็เป็นเครื่องยืนยันอันหนึ่ง ว่าไม่ใช่แชร์ลูกโซ่อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น รัฐบาลคงต้องประกาศห้ามไปนานแล้ว

ที่บอกว่าไม่มีใครควบคุมได้ มันทำได้ซะที่ไหน

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : อย่าง กลต ไทย ก็มี พรก สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin และไหนจะประเทศจีน ก็ออกประกาศอย่างต่อเนื่องว่าแบน Bitcoin และอีกหลายประเทศ ก็ออกประกาศทางสื่อต่างๆ ว่าจะควบคุม และ จำกัดการเข้าถึง และครอบครอง Bitcoin ไหนว่าใครควบคุมไม่ได้?

Bitcoin ไม่สามารถควบคุมได้เช่นเดิม

อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ว่ามีคนจีนที่ครอบครองเป็นเจ้าของ Bitcoin อยู่จริง แม้ว่ารัฐบาลจะแบนอย่างจริงจัง และ เหมืองขุดจากประเทศจีนก็ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกด้วยเช่นกัน และโดยหลักการทำงานของ Decentralized ของ Bitcoin ที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมแบบเบ็ดเสร็จได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม หรือ แนวทางที่พอมีอยู่ ก็เป็นไปได้ในความเป็นจริงได้น้อยมาก

นี่คือ สิ่งที่เกิดมาจากความตั้งใจของ Satoshi ในตอนที่สร้างขึ้นมา เพราะเค้ารู้ว่า หากการใช้งานเงินแบบที่รัฐเป็นคนสร้าง และ หรือ ยอมให้กลุ่มคนแม้เพียงกลุ่มเล็กๆ เข้าควบคุมได้แล้ว ก็จะมีจุดจบอันเกิดจากความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดของคน ไม่ต่างจากเงิน Fiat เลย ดังนั้น ใครก็สามารถเข้าซื้อ และ ครอบครองเป็นเจ้าของ Bitcoin ได้ โดยไม่ต้องแสดงตัวตนว่าคุณเป็นใคร และคุณสามารถเป็นเจ้าของและใช้งานได้โดยอิสระ โดยไม่ต้องประกาศบอกให้ใครรู้ว่าคุณคือใครอีกด้วย ดังนั้น การที่รัฐจะตรวจสอบ เพื่อควบคุม ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

กฎหมาย และ ข้อกำหนด เป็นเพียง ความพยายามสกัดกันตัวเองออกจาก Bitcoin เท่านั้น

การที่ประเทศใดๆ ออกกฎหมาย หรือข้อกำหนด เพื่อปิดกั้นการเข้าถึง Bitcoin จากประชาชน นั่นคือการกีดกันประเทศ และ ประชาชน ออกจากอิสระ และ เสรีภาพทางการเงิน ที่รัฐบาลต่างรู้ดี และไม่ต้องการเสียอำนาจที่ตัวเองควบคุมไป อันนำมาสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบเสรี ที่ทุกคนจะต้องได้รับผลกระทบด้วยตัวเอง แต่กลับเลือกที่จะใช้อำนาจ เพื่อริดรอนสิทธ์ที่ประชาชนควรเลือกที่จะได้ครอบครองในสินทรัพย์ใดๆที่เหมาะสมด้วยตัวเอง โดยประชาชน ไม่สามารถคัดค้านการออกกฎหมาย หรือ ข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ดังนั้นการออกข้อกำหนด และ เพิ่มกฎหมายมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการบีบประชาชน เพื่อให้หาทางดิ้นรนออกจากระบบมากขึ้น ประชาชนส่วนหนึ่ง ที่ไม่อยากต้องการอยู่ภายใต้การบีบคั้นของรัฐบาลเยี่ยงทาส จะเริ่มค่อยๆหาทางเรียนรู้ และเข้าใจในความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเวลาผ่านไป รัฐจะเริ่มเห็นว่า สิ่งที่ตัวเองได้ออกข้อกำหนด หรือข้อบังคับนั้น ได้เป็นตัวเร่งที่ทำให้ประชาชนหันหลังให้กับรัฐมากขึ้นด้วย

แกนหลักสำคัญคือ Blockchain ต่างหากที่ใช้ประโยชน์ได้จริง

ขยายความเพิ่มเติม : Bitcoin เป็นแค่ example use case ที่เกิดมาจาก blockchain technology เท่านั้น ดังนั้น แก่นแท้จริงของ Bitcoin ที่เห็นจริงๆ คือ blockchain technology ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังต่างหากที่มีคุณค่ามากที่สุด ไม่ใช่ Bitcoin เองแต่อย่างใด

Blockchain เอง ไม่ใช่ Technology ที่ล้ำเลิศอะไร

ถ้าคุณมีเพื่อนที่เป็นทำงานในสายงาน Technical สักคนนึง (ที่ไม่ใช่คนคลั่ง Bitcoin แบบไม่สนความถูกต้อง และเป็นจริง) แล้วลองคุยเรื่อง Blockchain ไปในเชิงลึกว่า Blockchain อย่างเดียว แก้ปัญหาอะไร? ถ้าจะแก้ปัญหาเดียวกัน แต่ไม่ใช้ blockchain ได้หรือไม่? มี solution อะไรที่ทำงานได้ผลลัพท์เหมือนอย่างที่ blockchain ทำได้ แต่เร็วกว่า ถูกกว่า blockchain อีกหรือไม่ หรือ คำถามที่ชัดเจนมากที่สุด ก็คือ Blockchain คือ database ตัวนึงที่ทำงานได้ช้ามากจริงหรือไม่ จะพบว่า มีคำตอบมากมาย ที่พรั่งพรูออกมา ซึ่งนั่นเป็นความเป็นจริงทั้งหมด เพราะว่า blockchain เองไม่ใช่ technology ที่ล้ำเลิศอะไรเลย อีกทั้ง มีบริษัท Technology ต่างๆ พยายามเอา blockchain technology เข้าไปประยุกต์ในการทำงานของบริษัท ทั้งภายในและภายนอก แต่ก็พบว่านั่นไม่ใช่คำตอบหรือการแก้ไขปัญหาที่ดี ทั้งยังทำให้ระบบช้ากว่าเดิมอีกต่างหาก หรืออีกหลายบริษัท ต่างสูญเสียเงิน และ ทรัพยากรเป็นจำนวนมากก ในการประยุกต์เอา blockchain เข้าไปใช้งาน เพื่อให้ได้เรียนรู้ว่า มันไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเลย (แต่อย่างน้อย ก็ยังคุ้มค่าที่ได้เรียนรู้นะ)

Blockchain ทำหน้าที่เหมือน Database แบบ Time series ที่มีการเก็บข้อมูลเป็นชุดๆ และมีการรันเลขเพื่อกำกับ รวมทั้งมีการ hash เพื่อนำผลลัพท์มาเชื่อมต่อกันทีละกล่อง เพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ความถูกต้อง แต่ว่าการทำแบบนี้ จะส่งผลให้การเข้าถึงข้อมูลเป็นไปได้ช้า และ ยุ่งยาก รวมทั้ง ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลที่เคยบันทึกไปแล้วในอดีตได้เลย ซึ่ง Technology แบบนี้ น่าจะเหมาะกับ การบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ลงไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้น ไม่เหมาะกับกิจกรรมทางธุรกิจ ที่ต้องพร้อมสำหรับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแต่อย่างใด

Blockchain เป็นแค่องค์ประกอบเดียว ของ Bitcoin เท่านั้น

การทำงานของ Bitcoin ไม่ได้เกิดจาก Technology แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ประกอบด้วยอีกหลายอย่างเข้ามาผสมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เศรษฐกิจ, จิตวิทยาการลงทุน, ทฤษฏีเกม, การกระจายตัว ซึ่งทุกอย่างต้องนำเข้ามาประกอบอย่างลงตัว เพื่อให้เกิดออกมาสำเร็จอย่าง Bitcoin ได้ โดยเราจะเห็นความจริงได้จากการเกิดขึ้นมาของ project Bitcoin clone เป็นจำนวนมาก หรืออีกหลาย Token ที่มีการขายกันอยู่ในปัจจุบัน ต่างก็ได้กล่าวอ้างว่า ดีกว่า Bitcoin ด้วยกันทั้งนั้น และก็ใช้ Blockchain ด้วยกันทั้งหมด แต่ทำไม Project ส่วนมากจึงไม่สำเร็จ และ จบด้วยการล้มเลิกโครงการกันไปล่ะ? หรือไม่ล้มเลิก ก็กลายเป็นเหมือน dead project ขนาดว่าเป็น project ที่ใช้ blockchain ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงินโดยตรงแล้วก็ตาม ก็ยังมีปัญหาเรื่องการใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆอยู่เลย แล้วถ้าเป็น project ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงินและการนำเอา Blockchain ไปใช้นั้น จะยิ่งเป็นการสร้างปัญหามากกว่าการแก้ปัญหาอีกต่างหาก

มันไม่ใช่เงินดิจิตอล แต่มันคือการปั่นตัวเลขหาผลประโยชน์ต่างหาก

ขยายความเพิ่มเติม : มีกลุ่มคนต่างปั่นราคา Bitcoin ให้ขึ้น หรือลง เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านั้น ต่างได้ผลประโยชน์ก็เพียงเท่านั้น เงิน digital ก็เป็นแค่คำโฆษณา ใช้ไม่ได้จริง

Bitcoin มีสภาพคล่องสูง ทุกคนก็ซื้อ ขาย ได้ตามต้องการ จากทั่วทุกมุมโลก

Bitcoin มีการกระจายตัวออกมาก และทุกที่ก็มีความเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็น Centralized Exchange , Decentralized Exchange ดังนั้น การจะซื้อจากแหล่งนึง เพื่อให้มีผลกระทบต่อราคา จำเป็นต้องใช้เงินเยอะมาก และ ระหว่างทาง ก็จะมีแรงเทขายกดดัน จากการทำ arbitrage ออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อ balance ราคาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันจากแหล่งต่างๆอีกด้วย ดังนั้น หากคิดว่ามีเจ้ามือที่ใหญ่มากอยู่เบื้องหลังก็ต้องเป็นเจ้ามือที่ใหญ่มากระดับโลก ที่เข้ามาทำตรงนี้ และสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนส่วนใหญ่ได้ ถ้าคนส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อ Bitcoin แต่เจ้ามือที่ว่านั้น ต้องการทำกำไรจาก Short position ที่ได้เปิดเอาไว้รอแล้ว การจะเปลี่ยนให้คนจากทั่วทุกมุมโลก เปลี่ยนความตั้งใจจากซื้อ มาขายนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนอย่างที่จะทำได้กับตลาดทุนแบบอื่นๆ จริงอยู่ว่าตลาด Crypto exchange ยังมีขนาดเล็กอยู่มาก แต่ด้วยการกระจายตัวที่มีอยู่สูงมาก อย่างที่ได้กล่าวไป จึงทำให้เปลี่ยนใจคนส่วนใหญ่นั้น เป็นไปแทบไม่ได้เลย และถ้าผู้คนที่ต้องการซื้อเป็นส่วนใหญ่ การเทขายออกมา จะทำให้ผู้คนได้ซื้อในราคาที่ถูกลงอีกด้วย

มีโอกาสขาดทุนที่สูง

การเทขาย เพื่อกดราคาลง ต้องไม่ลืมว่า ตลาดก็มีแรงซื้อเข้ามาได้ต่อเนื่องด้วยเช่นกัน การทำแบบนั้น เป็นไปได้สูงว่า เมื่อขายทำกำไรออกไปแล้ว การจะซื้อคืนในรอบต่อไป จะต้องซื้อคืนในราคาที่แพงขึ้น เรื่องนี้ ปรากฏอยู่ในราคาจุดต่ำสุดของรอบ Bitcoin halving ที่ราคาต่ำสุดในแต่ละรอบนั้น ยกสูงขึ้นจากรอบก่อนหน้าขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น หากมีคนทำจริง ก็อาจจะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะขายแพง เพื่อไปซื้อจุดที่แพงกว่าเดิมได้ แม้เหมือนจะได้กำไรจากการเล่นรอบ แต่คิดว่าน่าจะได้กำไรน้อยกว่าการไป leverage ใน Long position อยู่มาก เพราะนั่นคือการขยายเงินทุนได้สูงถึง 125 เท่าเลยทีเดียว และไม่จำเป็นต้องออก position บ่อย เพียงเปิด position ที่จุดราคาต่ำๆครั้งเดียว ก็มากเพียงพอ และไม่ต้องลุ้นว่าจะขายหมูอีกด้วย (ขายแล้ว แต่ราคายังไม่ลง และ ขึ้นไปสูงกว่าจุดที่ขายออกไป) บางครั้ง การทำให้อะไร simple มากขึ้น ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า แม้กระทั่งการ trade ก็ตาม

ต่อให้ราคาผันผวนเพียงใด ก็ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติเป็นเงินที่ดีของ Bitcoin

Bitcoin ยังคงเป็น Bitcoin แต่ความผันผวนที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นเงินที่ดีของ Bitcoin แต่อย่างใด เพราะ ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่งคือมองว่า Bitcoin อยู่สงบนิ่งคงที่ ระบบยังทำงานตามเดิม โค้ดเป็นแบบเดิม คนขุด ก็ขุดกันไปเหมือนเดิม node ที่ตรวจสอบความถูกต้อง ก็ยังทำงานต่อเนื่องไปเหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย

เรื่องราคาที่ผันผวน จึงเป็นเพียง เรื่องของคน จิตใจ ที่ไม่มีความมั่นคง ผันผวน เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลาต่างหาก จนทำให้เกิดราคาของ Bitcoin ที่เปลี่ยนไปมาได้ ไม่ใช่ตัวของ Bitcoin เอง

ดังนั้น ตราบใด ที่การทำงานต่างๆของ Bitcoin ยังคงเป็นแบบเดิม เหมือนตอนที่ถูกสร้างขึ้นมา หรือ ถูกปรับปรุงไปในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมเรื่อยๆ นั่นก็มีโอกาสสูงมากที่จะถูกใช้เป็นเงินดิจิทัลได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนปั่นได้ และ คนที่ปั่นเอง ก็อาจจะต้องบาดเจ็บจากการปั่นด้วย เพราะนี่ไม่ใช่สินทรัพย์ที่จะมีใครเป็นเจ้าทองที่แท้จริงได้ง่ายๆ เนื่องจาก ทุกคนทั่วโลก สามารถเข้าถึงได้เหมือนๆกันนั่นเอง (เพียงแค่บางประเทศที่โดนแบน อาจจะเข้าถึงได้ยากหน่อย แต่ยังมีความเป็นไปได้แน่นอน)

เดี๋ยวเจ้ามือก็ทุบเละ

ขยายความเพิ่มเติม : มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะมีคนทยอยไล่ซื้อ Bitcoin เก็บตอนราคาต่ำๆ แล้วไปทุ่มขายทิ้งเพื่อเอากำไรออกมาตอนที่ราคาแพง

ทุกคนมีอิสระในการขาย แต่ไม่มีใครการันตีว่าจะซื้อคืนได้เท่าเดิม

ตราบใดที่ไม่มีใครแอบสร้าง Bitcoin ขึ้นมาได้ เจ้ามือก็ทำได้เพียงเทขายทิ้งได้ครั้งเดียวเท่านั้น และโดยปกติก็มีคนไล่ซื้อเก็บเรื่อยๆอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้น เป็นไปได้สูงว่า ขายแล้ว อาจจะต้องซื้อคืนแพงขึ้น หรือ ไล่เก็บคืนได้น้อยกว่าที่เคยเก็บได้ เพราะราคายกสูงขึ้นเรื่อยๆ

และทุกครั้ง ที่เจ้ามือได้ขายทิ้ง เพื่อทุบราคาไปแล้ว เจ้ามือเองนี่แหล่ะ ที่ต้องกลับตัวมาเป็นคนช้อนซื้อคืน นั่นก็คือเค้าจะเปลี่ยนหน้าที่กลายเป็นคนพยุงราคาด้วยเช่นกัน ดังนั้น ทุบแล้ว แต่ไม่ทุบจริง ทุบหลอก เพื่อให้คน panic ขาย แล้วก็ตามซื้อคืน เมื่อรวมกับคนอื่นซื้อเพิ่มอีก ราคาก็ไม่ตกลงมาก ไม่ได้ร่วงเละจริง แต่ถ้าเค้าจะทุบเพื่อให้ราคาร่วงเละ แล้วเค้าไม่ซื้อคืนอีกต่อไป เค้าก็ทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกต่อไป ความเสี่ยงตรงนั้น ก็หายไปด้วยเช่นกัน และวันเวลาที่ผ่านไป คนทั่วไป ก็เข้าซื้อและถือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาก็จะไม่กลับไปต่อแบบเดิมอีกนั่นเอง

ที่จริงแล้วเรื่องนี้ บริหารจัดการได้ง่ายมาก เพียงแค่เรามองข้ามราคาที่ผันผวนในช่วงเวลาสั้นๆไปแล้ว focus ที่การซื้อสะสม เพื่อใช้เป็นการเก็บมูลค่าในระยะยาว ปล่อยให้เจ้ามือเค้าทุบและไล่ซื้อแพง เป็นการยกฐานราคาขึ้นไปเรื่อย เราคือคนที่อยู่เหนือกว่ากิจกรรมของเค้าอีกที ความเดือดร้อนจึงน้อยลงตามไปด้วย เพราะถ้าเรามองในกรอบเวลาที่ใหญ่มากขึ้น เราก็จะเห็นความผันผวนที่น้อยลงตามไปด้วยเช่นกัน

สภาพคล่องที่สูงของ Bitcoin จะไม่ทำให้เกิดการขาดแคลน

เพราะเมื่อไรที่ราคาสูงมาก คนก็จะขายออกมา เพื่อทำกำไรเอง ไม่ต้องรอให้เจ้ามือมาเทขายทำกำไรเพียงคนเดียว แล้วในทางที่กลับกัน เมื่อราคาลงมาถูกมาก ก็จะมีคนที่ตามไล่ซื้อของถูกอยู่แล้วด้วยเช่นกัน เพราะความเชื่อมั่นใน Bitcoin ที่ไม่มีใครแอบสร้างขึ้นมาได้ตามกฎที่ได้กำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัด และด้วยสภาพคล่องที่สูงมากของ Bitcoin ในปัจจุบัน ทำให้เราสามารถเข้าซื้อ และ ขายออกได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที ขอเพียงมีมือถือ และ internet เท่านั้น ซึ่งดีกว่า ทองคำแท่ง, ที่ดิน ซึ่งต่างก็เป็นสินทรัพย์ที่สู้เงินเฟ้อด้วยเช่นกันเป็นไหนๆ แต่สภาพคล่องต่างกันมากๆ

ตัดอินเตอร์เน็ตทั่วโลกพร้อมกันก็ทำลายได้แล้ว

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : Bitcoin อาศัย internet ในการทำงานทุกกิจกรรม ตั้งแต่การโอน , การขุด, การยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม ดังนั้นถ้าตัด internet ทั่วโลก Bitcoin ก็เสียหายอย่างแน่นอน

Bitcoin ที่ถูกตัดขาด internet เป็นเพียงการ “หยุดกิจกรรม” ชั่วคราวแต่ไม่เสียหาย

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ขอแยกอธิบาย รายกิจกรรม จะได้เห็นภาพมากขึ้้น

กิจกรรมการขุด Bitcoin : แท้จริงแล้ว การขุด Bitcoin ใช้ internet น้อยมาก โดยเฉลี่ย 1 block จะใช้ปริมาณข้อมูลอยู่หลักสิบ ถึง ร้อย กิโลไบต์ เท่านั้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้ เนื่องจาก จะต้องตรวจสอบกับ internet ว่าปัจจุบัน มี block template เป็นอย่างไร รวมทั้ง หากค้นพบผลลัพท์ ก็จะส่งผลลัพท์กลับไปยัง Bitcoin network ด้วย ดังนั้น กิจกรรมการขุด จะหยุดลง ยกเว้นเครื่องขุดที่มี node ในตัวเอง จะยังสามารถขุดและปิด block ได้ต่อเนื่อง เพราะรับ block มาจาก node และ broadcast block ใหม่เข้าไปที่ node ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ว่าด้วย internet ที่ขาดออกจาก node อื่นๆ ผลที่ตามมาก็คือ ระบบจะไม่ได้รับ transaction ใหม่เข้ามาเพื่อให้ ทำให้ไม่มีธุรกรรมใหม่ที่รอยืนยันเพิ่มเติมอีก ระบบก็ขุดต่อไป แต่ปิด block เปล่าๆที่ไม่มีข้อมูลแทน

อีกผลกระทบนึงคือ chain จะแตกเป็นหลายสาย เพราะแต่ละ node และเครื่องขุดไม่สามารถคุยกันได้ แต่ปัญหานี้เป็นเรื่องเล็ก เพราะไม่มีธุรกรรมอะไรใหม่เกิดขึ้นอยู่แล้ว หลังจากที่ internet ถูกตัดไป

และในที่สุดเมื่ออินเตอร์เน็ตกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง บล็อกเชนสายที่ยาวที่สุด (ซึ่งก็จะเกิดจากเครื่องขุดที่มีกำลังขุดสูงที่สุด ที่ขุดได้ยาวนานต่อเนื่องโดยตลอด ก่อนที่ internet จะกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ถือว่าเป็น proof of work ที่เป็นที่ประจักษ์จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น) ก็จะถูกคัดเลือกให้เป็นเพียงสายเดียว ที่มีข้อมูลถูกต้องมากที่สุด และบรรดา Node bitcoin ต่างๆก็จะรับข้อมูลของ blockchain สายที่ยาวที่สุด เข้ามาเพื่อ อัพเดท ให้มีข้อมูลที่เทียบเท่ากัน สำหรับสายที่สั้นกว่าก็จะหายไป และเหมือนว่าธุรกรรมที่บรรจุในสายที่สั้นๆเหล่านั้น ไม่เคยเกิดขึ้น (ซึ่งตรงนี้ ข้อมูลจะไม่แตกต่างกันมาก เหตุเพราะว่า mempool ที่เป็นพื้นที่เก็บ transaction ก่อน internet ถูกตัดนั้น จะ share กันทั่วทั้งโลก ด้วยข้อมูลที่เหมือนกัน ดังนั้น ธุรกรรมของแต่ละสาย จะมีหน้าตาที่เหมือนกัน แต่อาจจะแตกต่างกันตรง ธุรกรรมอันไหน ถูกบรรจุ ก่อน หรือ หลังต่างกันเท่านั้น แต่ท้ายที่สุด จะถูกบันทึกลงทั้งหมด) และกระบวนการขุด bitcoin รวมถึงการยืนยันธุรกรรมทุกอย่างจะเดินหน้าต่อทันที โดยไม่มีใครหรือกลุ่มคนไหนต้องเข้ามาซ่อมแซมแก้ไข หรือปรับปรุงระบบอะไรแต่อย่างใด

ระบบการเงินปัจจุบันก็ชะงัก และสร้างความ “เสียหาย” แท้จริง

หลายคนอาจไม่ทราบ แต่ในความเป็นจริงระบบธนาคารและระบบการเงินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันมีความต้องการพึ่งพาอินเทอร์เน็ตที่สูงมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือตู้ ATM ทุกตู้ที่เราเห็นอยู่นั้นมีความจำเป็นต้องใช้งานอินเตอร์เน็ต ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ Server ของธนาคารที่ส่วนกลาง เพื่อทำให้ทราบว่าแต่ละคนมีบัญชีเงินฝากหรือยอดที่สามารถถอนได้จำนวนเท่าไหร่(ข้อมูลเหล่านี้ เก็บที่ส่วนกลาง, ATM เป็นเพียงเครื่องมือที่ติดต่อระหว่างคนใช้งานและส่วนกลางเท่านั้น) และเมื่อทำรายการที่ตู้ ATM เช่นการถอนเงินตู้ ATM จำเป็นจะต้องส่งรายการนั้นกลับไปยืนยันกับส่วนกลางด้วยว่าเรามียอดเงินเพียงพอให้ถอนได้ไม่อย่างนั้นตู้ ATM จะปฏิเสธการถอนเงินของเราในครั้งนั้นทันที หมายความว่าถ้าอินเตอร์เน็ตถูกตัด ATM ทุกตู้จะไม่สามารถใช้งานได้โดยทันที เท่านั้นยังไม่พอถ้าคุณเดินไปที่สาขาของธนาคาร ก็จะพบว่าพนักงานธนาคารก็ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เพราะพนักงานธนาคารจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตในการเข้าไปดูข้อมูลที่ธนาคารส่วนกลางด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากอินเตอร์เน็ตที่ถูกตัดไปแล้ว พนักงานก็ไม่สามารถตอบคุณได้ว่า ณ ตอนนี้คุณมีบัญชีเงินฝากเท่าไหร่ ต่อให้คุณถือสมุดบัญชีที่เพิ่งอัพเดทมาเมื่อ 1 นาทีที่แล้ว พนักงานธนาคารก็ไม่สามารถดำเนินการถอนเงินให้กับคุณได้

ตอนนี้คุณต้องเริ่มเป็นกังวลกับเงินสดในกระเป๋าเงินของคุณแล้วล่ะ ว่ามีเงินสดเพียงพอต่อการใช้งานไปได้อีกกี่วัน หากคุณบอกว่าเป็นคนที่ไม่พกเงินสดมานานแล้วบอกได้เลยว่า นั่นแหละคือหายนะของคุณทันที เพราะหลังจาก internet ที่ถูกตัดนั้น คุณคือคนที่ไม่มีเงินในทันที นี่จะเป็นความเสียหายต่อชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว

เรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็นเงินในรูปแบบใดก็ตาม จะเป็นเรื่องที่น่าห่วงน้อยที่สุด

ถ้าอินเตอร์เน็ตถูกตัดนานหลายวัน สิ่งที่คุณต้องกังวลต่อจากนี้ คือการมีชีวิตอยู่รอด โดยที่เงินสดไม่สามารถใช้งานได้ และสิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่าก็คืออาหาร และน้ำ ที่ผู้คนจะไปแย่งกันเพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่อาศัยในระยะเวลานานได้ ถึงเวลานั้นเงินไม่ว่าจะเป็นสกุลใดก็ไร้ค่า เพราะผู้คนจะใช้กำลังและอาวุธเข้าแย่งชิงทรัพยากรของคนอื่น ถ้ามาจนถึงจุดที่ขาดแคลนมาก ต่อให้มีเงินล้นฟ้าก็ไม่สามารถมีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือให้เอาชีวิตรอดได้อยู่แล้ว เพราะเงินไม่ได้มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว น้ำ อาหาร อาวุธเท่านั้น ส่วนเรื่องของ bitcoin คงเป็นเรื่องที่เราจะต้องใส่ใจ เป็นลำดับสุดท้ายแล้วก็ว่าได้

Bitcoin ถูกออกแบบมาให้ทำงานแบบ offline ได้ หากมีเพียง local network หรือ intranet กลุ่มเล็กๆ

หลังจาก internet ถูกตัด ถ้าเราสร้าง network เล็กๆขึ้นมา ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ที่ใช้เป็น Server โดยมีหน้าที่เป็นทั้งตัวขุดและ node ในเวลาเดียวกัน จากนั้น ทุกคนก็สามารถรับส่ง bitcoin ระหว่างกันได้ โดยติดต่อเพียงแค่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวที่ติดต่อได้นั้น ในเครือข่ายที่ตัวเองใช้งานอยู่ เท่านั้นก็เพียงพอ และเครือข่ายนี้ก็สามารถขยายไปยังหมู่บ้านข้างๆ ตำบลข้างๆ อำเภอข้างๆ จังหวัดข้างๆ ประเทศข้างๆ ทวีปข้างๆ ท้ายที่สุดก็ขยายเพื่อใช้งานทั้งโลกได้ โดยที่ยังมีความปลอดภัยอยู่ เพราะจะมีแต่เพียงเจ้าของ bitcoin (เจ้าของกระเป๋า) เท่านั้นที่สามารถลงนามธุรกรรมในการใช้เงินของตัวเองได้ เนื่องมาจากระบบ bitcoin ไม่ได้จำเป็นต้องอาศัยตัวกลาง ในการทำธุรกรรมแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อไม่มีตัวกลางแล้ว ระบบ bitcoin จึงยังเดินหน้าทำธุรกรรมได้ ต่อเนื่อง เพราะส่งถึงมือผู้รับโดยตรง ไม่มีใครต้องมาชี้ว่า ถูกหรือผิดอีก node ทำหน้าที่บรรจุธุรกรรมเพื่อเขียนบันทึกลงบล็อกเชน ที่ทุกคนก็สามารถเชื่อ Server เครื่องนี้ได้ แต่หากมีคนที่ไม่เชื่อไม่ว่าใครก็ตามที่มีคอมพิวเตอร์ ก็สามารถติดตั้งตัวขุด และ node เป็นของตัวเอง โดยเอามารวมในเครือข่ายกับ Server เครื่องแรกได้ ซึ่งนี่ก็คือวิธีการเดียวกันกับวันแรกที่ bitcoin ได้เริ่มต้นขึ้นนั่นเอง

ระบบการเงินปัจจุบันไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าแต่ละธนาคารก็จะมีมาตรฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในเป็นแบบเฉพาะของตัวเอง ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะมีมาตรฐานที่แตกต่างกันไป ดังนั้นหากเราเก็บเงินไว้ในธนาคารแห่งหนึ่งเราก็จะไม่สามารถโอนเงินข้ามไปยังผู้รับซึ่งมีบัญชีของธนาคารอีกแห่งหนึ่งได้ จำเป็นต้องให้ทีมผู้พัฒนา ของทุกธนาคารมาคุยรวมกันเริ่มต้นใหม่อีกรอบ ซึ่งกระบวนการนี้อาจจะใช้เวลานานเป็นเดือนเพราะมีความจำเป็นต้องทดสอบให้มั่นใจ อีกทั้งอาจจะเกิดการถกเถียงว่า จะต้องเริ่มที่ธนาคารไหนเป็นแห่งแรก หรือเริ่มต้นที่พื้นที่ไหนเป็นแห่งแรก จะมีความได้เปรียบเสียเปรียบของฐานข้อมูลลูกค้าของแต่ละธนาคารอีกด้วย และถึงแม้เราจะทำระดับพื้นที่ได้ การขยายเป็นระดับโลก ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกเช่นเดิม เพราะแต่ละธนาคารของแต่ละประเทศต่างก็มีแนวทางการและเปลี่ยนข้อมูลเป็นของตัวเอง

Bitcoin สามารถทำงานได้ โดยอาศัย SMS

ปัจจุบัน มีการ implement เพื่อให้สามารถรับส่ง Bitcoin ได้ผ่านทาง SMS มานานแล้ว อ้างอิง https://medium.com/@jholmes91/samourais-new-feature-send-bitcoin-via-sms-text-message-23c9b2c1a37b แม้ว่าจะเป็นการใช้งานในพื้นที่ที่จำกัด และ ใช้งานได้บางประเทศ แต่ว่าก็สามารถใช้งานได้จริงแล้ว และการขยาย solution นี้ออกไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกด้วย ดังนั้น หากยังมีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานมาก ก็มีความเป็นไปได้ในการทำธุรกรรมผ่าน SMS อีกด้วย และเช่นเดิม หากระบบการเงินปัจจุบันจะทำให้มี feature นี้เหมือนกัน ก็คงต้องใช้เวลาอีกมากพอสมควรเลยทีเดียว กว่าจะพร้อมใช้งานได้

Bitcoin ไม่มีวันทำลาย Fiat ได้

ขยายความเพิ่มเติม : Bitcoin ไม่มีวันที่จะทำลาย Fiat ได้อย่างแน่นอน เพราะว่า Fiat มีความมั่นคง แข็งแรง และผู้คนต่างก็เชื่อมั่นสิ่งที่รัฐบาลรับรองเป็นเงินให้ใช้งานกันอยู่ได้ ตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบัน และอนาคต

Bitcoin ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำลายเงิน Fiat

Bitcoin ไม่ได้มีจุดมุ่งเพื่อจะทำลายเงิน Fiat แต่จุดมุ่งหมายนั้นชัดเจนมาก ก็คือ สร้างเงินใหม่ที่มีความมั่นคง แข็งแรง ผู้คนที่ใช้งานเป็นเจ้าของเงินอย่างแท้จริง ไม่อาศัยอำนาจรัฐหรือตัวกลางอย่างธนาคาร/สถาบันการเงิน เข้ามาช่วยเหลือในการทำธุรกรรม และ ทุกธุรกรรมเกิดขึ้นจากความตั้งใจ และ กระบวนการเข้ารหัสทาง computer เพื่อใช้เป็นข้อมูลแสดงว่า ได้ทำธุรกรรมมาจากเจ้าของตัวจริงได้เพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งตั้งใจจะทำให้เป็นเงินที่มีจำนวนที่จำกัด ก็คือ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น และมาพร้อมกับการแตกหน่วยย่อย ที่เริ่มต้นได้มากถึง ทศนิยม 8 ตำแหน่ง ซึ่งย่อยมากเพียงพอให้ใช้งานกันได้อย่างเป็นวงกว้างทั่วทั้งโลก อีกทั้ง มีกระบวนการปล่อยให้ใช้งาน แบบค่อยเป็นค่อยไป ยาวนานระดับ 100 ปี เรียกได้ว่าข้าม 1 ชั่วอายุคนเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ นโยบายการผลิต ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไป นับจากวันแรกที่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน และ อนาคต เพื่อให้เป็นเงินแบบใหม่ ที่แตกต่างจากเงิน Fiat ที่ทุกคนใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

Bitcoin เกิดขึ้นมาจากความเห็นใจผู้คนที่โดนสูบพลังงาน และ ทรัพยากรจากระบบเงิน Fiat ปัจจุบัน

ผู้ที่สร้าง Bitcoin มีความหวังดี และ ปรารถนาดีต่อผู้คนที่กำลังใช้เงิน Fiat อยู่ เพราะ พลังงาน เวลา ของผู้คนที่ออกไปทำงานอย่างเหนื่อยยาก และ รับเงิน Fiat เอามาเก็บออม แต่กลับพบว่า ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากขึ้นเท่าไร เงินที่เค้าเก็บออม ก็มี Purchasing power ที่ลดลงเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป (อย่างที่เคยเล่าไปใน episode ก่อนว่า เมื่อก่อนเราสามารถใช้ 5 สตางค์ ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ แต่ปัจจุบัน ไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้ง เรามีแนวโน้ม ที่จะเลิกใช้เหรียญ 25 และ 50 สตางค์อีกด้วย เพราะไม่มีมูลค่าพอจะซื้ออะไรได้อีกแล้ว) ยิ่งเวลาผ่านไปนาน purchasing power ของเงินเหล่านั้น ก็ยิ่งลดน้อยลง ในอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากเงินเฟ้อ ที่เพิ่มขึ้นแบบดอกทบต้น ทำให้ เงินเฟ้อปีละ 7% ผ่านไป 20 ปี เงินออมที่เราเก็บออมเอาไว้ จะเหลือ purchasing power เพียง 25.84% เท่านั้น หากเงิน 100 บาท เมื่อ 20 ปีก่อน เราซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ 4 ชาม ผ่านไป 20 ปี เราจะใช้เงิน 100 ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้เพียงชามเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เงินเราหายไป เงินเรายังมี 100 เท่าเดิม เหมือน 20 ปีก่อน แต่ก๋วยเตี๋ยวขึ้นราคามาเป็นชามละ 100 บาท แทนต่างหาก เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เราคุ้นชินมาทั้งชีวิต เพราะราคาข้าวของแพงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลาตั้งแต่เราจำความได้จากอดีตจนถึงปัจจุบัน

สิ่งนี้เป็นความปกติ ที่แท้จริงแล้ว มันคือความผิดปกติ แต่ว่าระบบการเงินปัจจุบันคอยสอนบอกเราว่านี่คือสิ่งที่เป็นปกติ เราต้องอยู่ในระบบการเงินแบบนี้ และเราจะต้องถูกสูบพลังงาน เวลา ทรัพยากรของเราแบบนี้ ตลอดไป เราเคยตั้งคำถามบ้างมั้ย ว่าถ้า Purchasing power ของเราหายไป แล้วคนที่ได้ประโยชน์นั้นคือใคร? เพราะระบบการเงินปัจจุบัน ก็เหมือนจะเป็น Zero sum game ก็คือ ถ้ามีคนที่เสีย ก็ต้องมีคนที่ได้ แต่นั่นก็จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะคุยกันตรงนี้

Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมาโดยดึงเอาปัจจัยที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ออกไป เพราะจำนวนที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่ม และการไม่อนุญาตให้ใครแอบสร้างเพิ่มใหม่ได้ ก็จะไม่มีมูลค่าของใครที่ถูก Dilute ออกไป (คือถือ Bitcoin จำนวนเท่าเดิม แต่ว่ามูลค่าต่อหน่วย มีค่าลดลง จากการที่มีกลุ่มคนสามารถสร้างขึ้นมาเพิ่มได้) ซึ่งเป็นข้อแตกต่าง และเป็นจุดยืนที่ชัดเจน อันเป็นต้นกำเนิดของ Bitcoin รวมทั้ง การไม่เชื่อใจในคน หรือ หน่วยงานใด ประเทศไหน ทำให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีใคร หรือ รัฐบาลใดเข้ามาแทรกแซง ให้นโยบายนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นี่ต่างหากที่ Bitcoin พยายามแสดงให้ทุกคนเห็น และนี่คือสิ่งที่ Bitcoin เป็น และนี่คือเป้าหมายที่แท้จริง

Fiat เป็นตัวสนับสนุน และ ทำงานคู่กับ Bitcoin

เส้นทางที่ยาวนานของ Bitcoin นั้น แท้จริงแล้วต้องอาศัยเงิน Fiat เข้ามาเป็นผู้ช่วยสนับสนุน และเดินเคียงข้างกันไป ตลอดช่วงการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้น เพราะแต่เดิมผู้คนจะยังคุ้นเคยและ รู้จักแต่เงิน Fiat แต่ Bitcoin จะมาในฐานะเงินที่แปลกประหลาด ซึ่งมนุษย์โลกจำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ยอมรับ นำมาใช้ และตลอดระยะเวลาที่ยาวนานนั้น เงิน Fiat จะยังมีความสำคัญต่อ Bitcoin อยู่เสมอ หรือแม้กระทั่งการจะได้มาซึ่ง Bitcoin นั้น ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เงิน Fiat ในกระบวนการใดๆ เพื่อจะให้ได้มาซึ่ง bitcoin ไม่ว่าจะเป็นการ ขุด ซื้อ หรือ ขอ จะเห็นได้ว่ากระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ Bitcoin ไม่สามารถหลีกเลี่ยง หรือ ก้าวข้าม Fiat ไปได้โดยทันทีแต่อย่างใด และ Bitcoin ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาทำลายเงิน Fiat อีกด้วย

อีกทั้ง ในทางกลับกัน ถ้าเงิน Fiat กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง โดยการที่ไม่มีการสูบพลังงานออกไป ไม่มีการด้อยมูลค่าลงเมื่อเวลาผ่านไป ไม่มีใครแอบสร้าง หรือ พิมพ์เพิ่มได้หากคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แบบนี้ Bitcoin เองต่างหาก ที่จะตายในท้ายที่สุด (แต่คิดว่าเป็นจริงได้หรือเปล่า?)

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนจะเป็นผู้เลือกเองว่าจะใช้งาน Fiat ต่อไป หรือว่าจะเลือกเก็บรักษาความมั่งคั่งเอาไว้ในเงิน ที่มีนโยบายที่แข็งแรง เพราะทุกคนมีอิสรภาพในการเลือก แต่เราก็ต้องไม่ลืมที่จะรับผิดชอบต่อการเลือกของเราเองด้วย

Quantum computer ทำลาย Bitcoin ได้

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : การมาของ Quantum computer จะสามารถ crack Bitcoin ได้ และเมื่อนั้น จะถึงวันที่ล่มสลายของ Bitcoin

Quantum computer มีแนวทางในการ Crack Bitcoin ได้จริง

สองแนวทางหลัก ที่ Quantum จะใช้สำหรับการ crack bitcoin

  • หา private key : อ้างอิง algorithm Shor จะเป็นการ brute force เพื่อหา private key บนกระบวนการเข้ารหัส RSA (Bitcoin ใช้ระบบเข้ารหัสแบบ ECDSA ซึ่งคล้ายกับ RSA) ด้วยความรวดเร็วสูงมากกว่า computer ที่มีในปัจจุบัน จนทำให้เจอ private key สำหรับการ sign ธุรกรรมได้เร็วมากขึ้น จากนั้น ก็เหมือนกับการได้ครอบครองกระเป๋านั้นแล้ว
  • ปลอม signature : อ้างอิง algorithm Grover ที่ Quantum computer จะนำมาใช้เพื่อการสร้าง digital signature ขึ้นมาใหม่ คล้ายกับการ hash ด้วย SHA-256 ที่ Bitcoin ใช้งานอยู่ โดยความเร็วจะสูงกว่า computer ที่เราใช้งานกันในปัจจุบัน หรือเครื่องขุดมากๆ ทำให้จะเจอ signature ที่เหมาะสม สำหรับปิด block ใหม่ได้เร็วกว่าเครื่องขุดที่มีอยู่เดิม ซึ่งก็จะครอบครองกำลังขุดส่วนใหญ่ไปได้

Quantum computer เองต่างหากที่ยังไม่พร้อม

ปัจจุบัน การทำให้ Quantum computer เสถียรพอที่จะเอามาใช้งานได้ ยังเป็นเรื่องที่ยากมากอยู่ และ จำนวน คิวบิต ที่สามารถใช้งานได้นั้น ก็ยังมีอยู่น้อยมากๆ ส่วนใหญ่ยังไม่เกิน 1,121 physical qubits (ในปี 2023) กับการสร้างมานานหลายปีแล้ว แต่นักวิจัย เคยออกมาประเมินเอาไว้ว่า ถ้าจะต้องใช้เพื่อการ crack Bitcoin ต้องมีไม่น้อยกว่า 3,000 logical qubits ซึ่งน่าจะต้องมาจาก ประมาณ 1-100 ล้าน physical qubits เลยทีเดียว จะเห็นได้ว่า ต้องการ การพัฒนาอีกนานมากทีเดียว ต่อให้มีการพัฒนาได้ปีละ 2 เท่า ก็ตามที

Bitcoin รู้ตัวนานแล้ว

การจะป้องกันการโจมตีได้ ต้องรู้ก่อนว่า มีความเป็นไปได้อะไรบ้าง ที่จะใช้โจมตี แน่นอนว่า ปัจจุบันทีมผู้พัฒนาได้รับรู้แล้วว่ามีความเป็นไปได้อะไรบ้าง แต่ว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรมาก เพราะลำพังเองการทำให้ Quantum computer ขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ ยังเป็นเรื่องยากอยู่มาก การจะใช้เพื่อโจมตี ที่เราคุยกันตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทางทฤษฏีเท่านั้น แต่แน่นอนว่า ทีมผู้พัฒนา Bitcoin ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามมาโดยตลอด และ พร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข Bitcoin เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทั้งวันนี้ และในอนาคตด้วย

หัวข้อนี้ควรเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา เนื่องจากการกระจายตัวของผู้ขุด และ node ต่างๆ เป็นอิสระต่อกันทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจ และเป็นจุดแข็งของ Bitcoin แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้ ก็ถือว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคในการปรับปรุงและแก้ไขระบบทั้งหมดของ Bitcoin ด้วยเช่นกัน เพราะไม่มีใครหรือกลุ่มคนใดหรือประเทศไหนที่สามารถบังคับให้ผู้ขุดทุกคนหรือโหนดทุกโหนดที่อยู่ในระบบ Bitcoin เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงอะไรได้ การเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงใดๆนั้นจะต้องเกิดมาจากความต้องการ และพึงพอใจของผู้ขุดหรือโหนดต่างๆด้วยเช่นกัน ในการยอมรับ software version ใหม่เข้ามา

แต่อย่างไรก็ดี การอัพเกรดหรือปรับปรุงแก้ไขในเรื่องที่มีปัญหา เช่นการป้องกันการถูก crack จาก quantum computer ที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ น่าเชื่อได้ว่า ผู้ขุดและโหนดต่างๆก็ยินยอมพร้อมใจที่จะอัพเกรดไปพร้อมๆกัน หรือในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน เพราะไม่มีประโยชน์อันใดที่จะ รันซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นเก่าที่มีความเสี่ยง ต่อการทำลาย Bitcoin ในขณะที่ตัวเองก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์จาก Bitcoin Network อยู่

อย่างที่เคยได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต ในตอนที่ bitcoin ถูกแฮกเพื่อเพิ่มจำนวนขึ้นมา เป็นจำนวนมาก แม้ว่าในตอนนั้น จะยังมีผู้ขุด อยู่เป็นจำนวนน้อย แต่ผู้ขุดก็ต่างเป็นอิสระจากกัน ดังนั้นในครั้งนี้ คงต้องจับตาดูการปรับปรุงและแก้ไขกันต่อไป เมื่อความชัดเจนต่างๆ เพิ่มมาขึ้น และโดยเฉพาะ เมื่อ Quantum Computer สามารถจับต้องได้ง่าย และเป็นจริงกว่าวันนี้

เปลี่ยนศัตรูมาเป็นพันธมิตร

ถ้า Quantum Computer เกิดขึ้นมาจนมีความเป็นไปได้ว่าจะเอามาใช้งานได้แล้วจริงๆ Bitcoin เอง ซึ่งเป็น Code ที่รันบน Computer ก็สามารถเปลี่ยนแปลงการทำงานของโค้ด เพื่อให้สอดรับกับการทำงานของ Quantum Computer ได้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ก็เปลี่ยนเอา Quantum Computer ที่จะทำลาย Bitcoin เอามาเป็นเครื่องขุด Bitcoin และ migrate การเข้ารหัสจาก computer สถาปัตยกรรมแบบเดิม ให้ทำงานสอดคล้องกับ Quantum Computer ได้อย่างไม่ยากอีกเกินไปด้วย ดังนั้น จากเครื่องมือที่จะใช้ทำลาย กลายเป็นเครื่องมือส่งเสริมเพื่อให้ Bitcoin แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างมาก เพราะด้วยความเร็วของ Quantum computer จะสามารถช่วยยกระดับความปลอดภัยของการขุดด้วยการเพิ่มขึ้นของกำลังขุดได้อย่างไม่น่าเชื่อ แบบยกระดับขึ้นไปอีกชนิดก้าวกระโดดเลย

ระบบการเงินปัจจุบันต่างหาก ที่ต้องกลัว

ระบบการเงินปัจจุบัน มีเม็ดเงิน หรือ market cap ที่ใหญ่กว่า Bitcoin มาก อีกทั้งความเชื่องช้าในการปรับเปลี่ยนตัวเอง เนื่องจากขนาดที่อุ้ยอ้ายกว่า กลายเป็นว่า ระบบการเงินปัจจุบันต่างหาก ที่จะเป็นเป้าหมายโดน Quantum computer crack ก่อนที่จะ Bitcoin จะแก้ไขแล้วเสร็จเสียอีก และยังต้องใช้เวลา และ มีความยุ่งยากอีกมาก ที่จะเปลี่ยนการทำงานต่าง เพื่อให้รองรับการทำงานของ Quantum computer เนื่องจากระบบการเงินในปัจจุบัน มีความซับซ้อนสูงมากๆ รวมทั้ง ระบบการเงินปัจจุบัน จริงๆแล้วมีความเปราะบาง และ เกิดความผิดพลาดอยู่เป็นระยะๆอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นกว่า จริงๆแล้ว ระบบการเงินปัจจุบัน อาจจะไม่ได้แข็งแรง หรือ ดีอย่างที่เราคิดก็ได้

จะเห็นได้ว่า มีเรื่องอื่นที่น่าเป็นห่วงมากกว่า Bitcoin เองอีกตั้งมาก อีกทั้งประโยชน์ (ที่ใช้ในทางไม่ดี) ก็มี target ที่ระบบอื่นที่จะทำให้ hacker ได้เงิน และหลบซ่อนสายตาคนทั่วไป ได้มากกว่าการเข้ามาทำลาย Bitcoin ซึ่งยืนอยู่ในที่โล่งแจ้ง ในทุกๆการกระทำอีกด้วย

Bitcoin ETF คือเครื่องมือสร้างความผันผวนให้ Bitcoin

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : การที่มี Bitcoin ETF จะส่งผลให้เกิดความผันผวนในราคาของ Bitcoin มากขึ้น เพราะจะมีเม็ดเงินจำนวนมากที่ไหลเข้าและออก และสิ่งนี้ สามารถทำให้ราคาของ Bitcoin ผันผวนขึ้นลงได้มากขึ้น

Bitcoin ETF มีข้อดีและข้อเสีย

ในปัจจุบัน เม็ดเงินในสินทรัพย์ต่างๆ ที่นอกเหนือจาก Bitcoin มีจำนวนอยู่สูงมาก และที่ผ่านมา Bitcoin ถือว่าเป็น ทรัพย์สินกลุ่มใหม่ และเม็ดเงินการลงทุน ที่ไหลเข้ามา มาจากรายย่อย หรือ กลุ่มคนที่ยังไม่ใหญ่มาก ดังนั้นเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนใน Bitcoin ก็ยังมีจำนวนน้อยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิม

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ปัจจุบัน เดือน เมษายน ปี 2024 Bitcoin มี Marketcap อยู่ที่ 1.276 Trillion (วัดได้จริง ไม่มีคลาดเคลื่อน) และแต่ละสินทรัพย์ มี Marketcap ดังนี้

  • ทองคำ : $16.059 T (ประมาณการณ์เท่านั้น เนื่องจากไม่สามารถตรวจวัดได้จริง)
  • หุ้น Microsoft : $2.965 T (คำนวณได้)
  • ตลาดหุ้นสหรัฐ : $50.8 T (คำนวณได้)
  • ตลาดพันธบัตรทั่วโลก : $133 T (ประมาณการณ์)
  • ตลาดอสังหาทั่วโลก $379.7 T (ประมาณการณ์)

จะเห็นได้ว่า Bitcoin ยังมี marketcap จำนวนเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ และการไหลเข้ามาของเม็ดเงินจากสินทรัพย์อื่น จะทำให้ Bitcoin มีราคาสูงขึ้นมากมาย เพราะ Bitcoin มีจำนวนจำกัดตั้งแต่เริ่มต้น และไม่มีการสร้างได้เกินกว่า 21 ล้าน Bitcoin

การย้ายเงินเข้าและออกจาก Bitcoin ปัจจุบัน ก็ทำได้อย่างสะดวก ผ่าน Crypto Exchange ที่มีอยู่ทั่วโลก และยังมี Decentralized Exchange ที่ให้บริการอยู่บน internet ตลอดเวลาแล้วด้วย ซึ่งทำงานโดยอัตโนมัติตามสมการคณิตศาสตร์ ที่เป็นโค้ดเขียนเอาไว้ใน Smart Contract ซึ่งการซื้อหรือขาย ต่างจะส่งผลกระทบต่อราคาอย่างแน่นอน แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงความผันผวนเพียงระยะสั้นเท่านั้น

เพราะเมื่อจำนวนที่มีอยู่จำกัด การซื้อ และ ขาย คือการเปลี่ยนมือบนของที่มีจำนวนเท่าเดิม ดังนั้นหากมีคนที่ไม่ต้องการขายออกมา ราคาจะต่ำลง แต่ก็จะมีคนกลุ่มที่ต้องการซื้อ รอซื้ออยู่ด้วยเช่นกัน ก็จะทำให้ราคากลับขึ้นมา หรือ เป็นการพยุงราคาได้

เงินที่เข้ามาจาก ETF ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการเก็งกำไรแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเงินจำนวนมาก ก็เป็นเงินที่ใช้เพื่อการลงทุน ดังนั้น จะเข้าซื้อ และถือเอาไว้เป็นระยะเวลานานด้วย และ ETF เพียงหนึ่งผู้ให้บริการ อาจจะประกอบด้วยลูกค้าจำนวนมหาศาล ดังนั้น ลูกค้ากลุ่มนึงที่ต้องการขาย ก็จะมีลูกค้าอีกกลุ่มนึงที่ต้องการซื้อด้วยเช่นกัน ทำให้สุทธิแล้ว ปริมาณการซื้อขาย Bitcoin จริงๆ อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ว่า กองทุน ETF ได้รับค่าธรรมเนียมจากตรงนั้นไปในการทำ net settlement ไปแล้ว โดยที่ Bitcoin ในตลาดยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย

Bitcoin SPOT ETF ไม่ได้ซื้อขายบนกระดาน เหมือนรายย่อย

ความเข้าใจผิดหนึ่ง ก็คือกองทุน ETF ต่างๆ จะแย่งรายย่อยซื้อบนกระดาน Trade ต่างๆ หรือ มา dump ขายบนกระดาน trade ต่างๆ แต่แท้จริงแล้ว กองทุน ETF ต่างๆ จะซื้อผ่าน OTC (Over The Counter) คือการ deal ซื้อขาย เป็นจำนวนมาก ไม่ผ่านหน้ากระดาน Trade แต่ผ่านเจ้าหน้าที่ ที่ให้บริการแบบ manual ต่างหาก และ Bitcoin จำนวนเหล่านั้น ก็จะไปหมุนเวียนอยู่หลังบ้านของกระดาน Trade แทน แต่ถ้ามีรายใหญ่พร้อมใจกันขาย ก็มีความเป็นไปได้ว่ากระดาน trade อาจจะหยุดรับซื้อชั่วคราว กองทุน ก็จะไปขายที่กระดาน trade อื่นแบบ OTC แทน เพราะการขายที่หน้ากระดาน Trade ของรายย่อย จะทำให้ Bitcoin ราคาลดลงเร็วมาก ก็จะทำให้ได้เงินกลับคืนมาน้อยลง ดังนั้น กองทุนไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้น (เว้นแต่ว่าได้ทำการ short เอาไว้ก่อนแล้ว) แต่ถ้าขายผ่านหน้ากระดานจริง อย่างที่ได้เคยเล่าไปว่า คนขายก็จะต้องกลับมาเป็นคนซื้อในภายหลังอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะทำกำไรจากการ short แล้ว dump ไม่ได้ ในรอบถัดไป

Bitcoin ETF ไม่สามารถแอบทำ Fractional reserve ได้

Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่เปิดเผยสมุดบัญชีตลอดเวลา และ เปิดเผยทั่วโลก ทุกคนสามารถเข้าตรวจสอบได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานใด อีกทั้งยังมีระบบตรวจสอบ (Audit) ความถูกต้องของทุกธุรกรรม ว่าจะไม่มีใครทำให้ Bitcoin เพิ่มขึ้นหรือหายไปตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด สิ่งนี้ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าไปร่วมตรวจสอบ บัญชีการเก็บ Bitcoin ของทุกกองทุน ของทุกกระเป๋า ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง หรือ auditor เจ้าไหนอีก

และถ้ากองทุนได้แสดงความเปิดเผย ว่าได้จัดเก็บ Bitcoin เอาไว้ในกระเป๋าใด จำนวนเท่าไร ทุกคนจะสามารถเข้าไปตรวจสอบผ่านเครื่องมือ blockchain explorer ที่ตัวเองเลือกเองได้ตลอดเวลา ว่ามีจำนวนตรงตามที่รายงานหรือไม่ ดังนั้น การบริหารกองทุน ETF จะไม่สามารถแอบทำ Fractional Reserve ได้เลย หากมีการรายงานจำนวนไม่ถูกต้อง ประชาชนสามารถเห็นความผิดปกตินั้นได้ทันที คงไม่มีกองทุนเจ้าไหนที่แอบทำ จนเกิดเหตุให้ล้มละลาย อันไปส่งผลกระทบต่อราคา Bitcoin ได้ และถึงจะเกิดขึ้นจริง ก็เป็นผลกระทบด้านราคาในระยะสั้นเท่านั้น เพราะกองทุนที่ล้มละลายไป ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรกับการทำงานของ Bitcoin แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องของ ETF ยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับ Bitcoin ก็ต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปอย่างใกล้ชิด ว่าจะมีลูกเล่น หรือ เทคนิคอะไรเพื่อแฝงตัวเข้ามาเป็นแนวทางที่จะทำลาย Bitcoin ได้หรือไม่

ประเทศเอลซัลวาดอร์ ล้มเหลวจากการยอมรับใน Bitcoin

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : ประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่ได้ยอมรับ Bitcoin ให้เป็น Legal tender หรือ เงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และนายกยังได้ทำการซื้อ Bitcoin เข้ามาสำรองในคลังอีกด้วย การดำเนินนโยบายนี้ ถือว่าล้มเหลว เพราะประชาชนต่อต้าน และ Bitcoin ที่ซื้อมา ก็ขาดทุนอีกด้วย

ประธานาธิบดี นายิบ บูเคเล ออกมาเห็นต่าง

ท่านได้กล่าวชัดว่า ตัวการที่แท้จริงที่ทำให้ประเทศล้มเหลว คือ เหล่านายทุนที่มาจากต่างชาติ และการโกงกินอย่างหน้าด้าน รวมกับนโยบายประชานิยม ที่ทำให้ประเทศชาติล้มเหลว แต่สิ่งที่เค้ากลับมาวางนโยบายใหม่นี้ ให้ผลที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหลายมุม อ้างอิงจาก https://www.nytimes.com/2022/07/02/opinion/bitcoin-el-salvador-bukele-crypto.html และ https://www.reuters.com/technology/pros-cons-el-salvador-first-bitcoin-nation-2021-09-06/

  • ทำให้ลดการพึ่งพาเงินต่างชาติ : โดยเฉพาะเงิน US Dollar
  • ช่วยเรื่องการโอนเงิน : สำหรับการโอนเงินข้ามประเทศ ทั้งคนที่โอนเข้าและออก ใช้ Bitcoin มีค่าธรรมเนียมการโอนที่ต่ำ ทำธุรกรรมได้เร็ว และถึงมือผู้รับโดยตรง โดยไม่ต้องใช้บริการตัวกลาง
  • ลด carbon footprint จากการขุด Bitcoin : มีการวางแผนจะสร้างเหมืองขุด Bitcoin จากพลังงานใต้พิภพ ซึ่งจะถือว่าเป็นการใช้พลังงานสะอาดในการดำเนินการด้าน Bitcoin
  • การดูแลกำกับทางด้านกฎหมาย : มีการเดินหน้าออกข้อกำหนดทางกฎหมาย และ ภาษี ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin โดยเปิดกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ Bitcoin เอง ไม่มีการถูกแทรกแซงจากประเทศอื่น ที่จะกระทบต่อตัว Bitcoin อันนำมาซึ่งผลกระทบในระดับประเทศได้
  • การบริหารจัดการด้านความผันผวน : มีการวิเคราะห์ และการยอมรับได้ ในการซื้อและ จัดเก็บ Bitcoin และ ทองคำ แม้ว่าราคาในช่วงแรกจะมีความผันผวนก็ตาม แต่เชื่อว่าอนาคตจะสามารถมีราคาที่สูงขึ้น และ นิ่งมากขึ้นได้อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ยังไม่นับนโยบายอื่นๆ ของท่าน ที่ทำให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุขได้ จนสามารถปลดรายชื่อประเทศออกจากรายการประเทศที่มีการก่อการร้ายและไม่ปลอดภัยได้ รวมทั้งอัตราการเกิดอาชญากรรมก็ลดลงอย่างมากด้วยพร้อมๆกัน นับว่าเป็นผู้บริหารประเทศ ที่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องต่างได้อย่างถูกต้องคนนึงเลยทีเดียว

ขาดทุน ไม่ถือว่าเป็นความล้มเหลว แต่ยังมีความเชื่อและซื้อเพิ่มต่อไป

เมื่อช่วงปี 2021 ที่ราคา Bitcoin ลดลงไปมาก ในช่วงนั้น สื่อต่างประเทศได้ออกข่าวเพื่อโจมตีต่อความล้มเหลวนี้ โดยชี้ให้เห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ทำให้ประเทศขาดทุน แต่แท้จริงแล้ว การขาดทุนครั้งนั้น คิดเป็น 0.2% ของ GDP เท่านั้น และ ยังไม่ถือว่าเป็นการขาดทุนที่แท้จริง เพราะยังไม่ได้ขายออก โดยยังมีความเชื่อมั่นใน Bitcoin และซื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่องอีกด้วย อีกทั้ง ช่วงเวลาที่ขาดทุนนั้นประเทศก็มีการเติบโตมากขึ้น โดย GDP ขยายตัวกว่า 10% ในปีนั้น แต่สื่อก็กลับหยิบยกไปโจมตีว่านี่คือความล้มเหลว

ท่านยังกล่าวอีกว่า นี่ก็คือการสมคบคิดของสำนักข่าว ที่ต้องการบิดเบือนความจริง และให้ประชาชนเกลียดในตัวเค้า และ เกลียด Bitcoin แต่ความจริงก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ปัจจุบัน ปี 2024 ที่ราคา Bitcoin ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ก็ทำให้ได้กำไรไปกว่า 2 พันล้านบาทแล้ว อ้างอิงจาก https://thestandard.co/el-salvador-reaps-bitcoin-substantial-profits/ และแน่นอน ด้วยความเชื่อมั่น ก็ยังไม่ขาย และยังคงซื้อเพิ่มเติมต่อไปเช่นเดิม

ประธานาธิบดีที่ถูกกล่าวว่าล้มเหลว ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง

1 ธันวาคม 2023 ประธานาธิบดี นายิบ บูเคเล ได้ประกาศลงจากตำแหน่ง เพื่อหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ในปี 2024 และแน่นอน ผลการเลือกตั้ง ก็ออกมาแล้ว โดยได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียงสูงถึง 85% และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อย 58 คน จากทั้งหมด 60 คน เรียกได้ว่าท่วมท้น และ ประชาชนต่างพึงพอใจในนโยยบายของประธานาธิบดีคนนี้เป็นอย่างมาก

นี่คือความล้มเหลวของนโยบายอย่างนั้นหรือ? และนี่คือสิ่งที่ทำให้ประชาชนลดความเชื่อถือในตัวนายกเหมือนอย่างที่สื่อต่างๆได้โจมตีอย่างนั้นหรือ?

ทั้งหมดนี้คือความจริง ที่ใช้พิสูจน์ว่า การกระทำนั้น สำคัญกว่าคำพูด

Unix Timestamp กำลังจะหมด

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : ระบบปฏิบัติการ Unix เก็บค่าเวลาไว้ในรูปแบบ 32 บิต โดยเริ่มนับจากวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1970 เวลา 00:00:00 น. (GMT) ซึ่งค่าสูงสุดที่เก็บได้คือ 2^31 – 1 หรือประมาณ 4,294,967,295 วินาที และตัวเลขจำนวนนี้ กำลังจะถึงจุดสูงสุด ในปี 2038 ซึ่งจะส่งผลกระทบกับหลายระบบที่ใช้ Linux server หรือ ใช้ข้อมูล unix timestamp เป็นตัวแสดงเวลา ณ ขณะหนึ่ง

Bitcoin คือหนึ่งใน software ที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น

ปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่ Library หรือ ระบบ Linux ที่ทำงานใน 32 Bit และไม่มีการปรับการทำงานของ Library ที่เกี่ยวข้องกับเวลาให้เป็น 64 Bit ก็จะทำให้เกิดปัญหานี้ ซึ่ง Bitcoin ที่รันอยู่บน server ที่เข้าเงื่อนไขนี้ ก็จะได้รับผลกระทบด้วย

ถ้ามองในมุมของ Bitcoin software เท่านั้น ซึ่งเก็บ timestamp ในรูปแบบ unsigned integer อยู่แล้ว ก็ไม่ได้เกิดปัญหานี้แต่อย่างใด ดังนั้นปัญหาจะอยู่ที่เพียง Library ที่สร้าง Unix timestamp เท่านั้นที่ต้องสร้างให้ถูกต้อง หากสร้างเวลาได้อย่างถูกต้องแล้วระบบของ Bitcoin ก็จะสามารถเก็บข้อมูล Timestamp ได้อย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน ส่วนปัญหาของตัว Bitcoin เกี่ยวกับเรื่องเวลานั้นจะมีปัญหาอีกทีประมาณปี 2160 ที่ unsigned integer ก็จะไม่พอเก็บ ซึ่งน่าเชื่อได้ว่าจะได้รับการแก้ไขแล้วอย่างแน่นอน เพราะเรายังมีเวลาแก้เรื่องนี้อีกกว่าร้อยปีเลยทีเดียว

SEC ไม่เคยรับรอง Bitcoin

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : SEC หรือ ก.ล.ต. ของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่เคยประกาศรับรอง Bitcoin แต่อย่างใด ที่ผ่านมา เพียงอนุมัติ Bitcoin Futures ETF และ Bitcoin Spot ETF เท่านั้น ดังนั้น การประกาศว่ารับรอง Bitcoin นั้นไม่เป็นความจริง

ต้องรับรองอะไร?

เราควรทำความเข้าใจกับคำถามนี้ก่อน คำว่า “รับรอง” คือรับรองอะไร สำหรับการที่ SEC ได้อนุมัติให้จัดตั้งกองทุน Bitcoin Futures ETF และ Bitcoin Spot ETF มาแล้วนั้น มีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า SEC มองว่า Bitcoin เป็นสินค้าเพื่อการลงทุนอย่างหนึ่งเช่นกัน และเมื่ออนุมัติให้จัดตั้งกองทุน ETF ได้แล้วนั้น ประชาชน หรือ บริษัทต่างๆ ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ ก็สามารถเข้าซื้อหน่วยลงทุน ของกองทุน ซึ่งก็จะถือว่าเป็นสินทรัพย์ของบริษัทเหล่านั้นอีกที อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และ ในทางบัญชี ซึ่งกองทุนก็จะเอาเงินที่คนมาลงทุนไปลงทุน Bitcoin ต่ออีกทอดหนึ่ง ตามกลยุทธ์ของแต่ละกองทุน ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันได้ (ไม่ได้หมายความว่าต้องซื้อ Bitcoin ทั้งหมด ตามที่ลูกค้าได้ลงทุนมา)

แต่ถ้า “รับรอง” หมายถึงว่า “รับรองเพื่อให้ใช้เป็น Legal Tender” แน่นอนว่าเรื่องนี้ SEC ไม่ได้รับรอง และถ้าพูดให้ถูกต้อง ก็คือ ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของ SEC แต่อย่างใด อย่างกรณีของประเทศไทยก็ไม่แตกต่างกัน คือ ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) เปิดให้มี Crypto Exchange และมีการซื้อขาย Bitcoin ได้ โดยมองว่า BItcoin เป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง แต่การจะให้ยอมรับว่าใช้ Bitcoin ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย หรือ เป็น “เงิน” นั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของ ก.ล.ต. แต่อย่างใด โดยเป็นหน้าที่ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธ.ป.ท.) เพราะทั้ง ก.ล.ต. ไทย และ SEC กำกับดูแล เรื่อง “การลงทุน และ หลักทรัพย์” ซึ่ง Bitcoin ไม่ใช่ “หลักทรัพย์” ดังนั้น จะคาดหวังให้ SEC หรือ ก.ล.ต. รับรองให้ Bitcoin เป็น legal tender นั้นเป็นความเข้าใจผิดอย่างแน่นอน

ส่วน ธ.ป.ท. เอง ก็มีประกาศว่า ไม่อนุญาตให้ใช้ Bitcoin และ Digital Asset อื่นๆ เป็น Mean Of Payment (สื่อกลางสำหรับการชำระเงิน) และ ประกาศชัดเจนว่า ไม่ให้ใช้เป็นเงินตราที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ดังนั้น ต้องแยกเรื่องออกจากกัน

ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่ย่อหน้าบนๆ ได้กล่าวไปแล้ว ว่าการจะทำให้ Bitcoin เป็นเงินที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางนั้น ต้องใช้เวลาเปลี่ยนผ่านอีกมาก และประชาชนเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเรื่องนี้ให้เข้าใจถ่องแท้มากขึ้น ก่อนที่จะไปซื้อ เพื่อเก็บไว้ใช้ หรือ เพื่อเก็งกำไรก็ตาม ปัจจุบัน ก็จึงไม่แปลก ที่จะยังไม่ได้รองรับให้เป็น “เงิน”

Bitcoin ใช้งานได้ โดยถูกต้องตามกฎหมาย

ตามรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศสิทธ์เอาไว้ดังนี้ “สิทธิในทรัพย์สิน รับรองสิทธิของบุคคลในการเป็นเจ้าของและควบคุมทรัพย์สิน บุคคลมีอิสระที่จะแลกเปลี่ยนทรัพย์สินของตนกับผู้อื่น รัฐบาลมีอำนาจในการควบคุมการแลกเปลี่ยนทรัพย์สิน แต่โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลไม่สามารถห้ามบุคคลจากการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการโดยสมัครใจ”

ดังนั้น Bitcoin ที่ได้ถือว่าเป็นสินทรัพย์แบบหนึ่งเช๋นกัน ประชาชนย่อมมีสิทธ์ ในการใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการได้โดยสมัครใจ และถึงปัจจุบัน ก็ไม่มีการประกาศห้ามแต่อย่างใด (และก็ห้ามไม่ได้ด้วย)

ซึ่งประเทศไทยก็เป็นในลักษณะเดียวกัน ก็คือ สามารถใช้งานได้โดยยังไม่ถูกห้ามให้แลกเปลี่ยน แต่มีเพียงประกาศว่าห้ามใช้เป็น สื่อกลางการชำระเงิน หรือ mean of payment เท่านั้นเอง แต่ประชาชนก็สามารถใช้ Bitcoin เพื่อแลกสินค้าและบริการได้ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งในเชิงการลงบัญชี และ ภาษี ก็ถูกต้องทั้งหมดด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งนี้ ไม่ต่างจากในอดีตที่เราสามารถใช้สินค้าหรือบริการ หนึ่ง แลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการอีกอย่างหนึ่งได้ หรือเราจะรู้จักกันว่า Barter trade นั่นเอง

Barter trade สามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องขออนุญาต และไม่ผิดกฏหมายแต่อย่างใด ดังนั้น เราสามารถใช้ Bitcoin เพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการอื่นๆได้ทันที โดยในส่วนนี้ รัฐบาล ก็ไม่สามารถประกาศห้ามได้ด้วยเช่นกัน เพราะนี่คือ สิทธิขั้นพื้นฐานในการแลกเปลี่ยนสินค้า และ บริการที่มีมูลค่าระหว่างกันโดยตรง และทั้งสองฝ่ายก็พึงพอใจ

ถึงจะห้าม ก็ทำไม่ได้

คุณสมบัติอีกอย่าง ของ Bitcoin ก็คือมีความเป็น Decentralized คือการกระจาย node การยืนยัน และ การขุด ดังนั้น การจะสั่งห้าม ไม่ให้ใครทำธุรกรรม Bitcoin ของตัวเองนั้น ในทาง Technical แล้วเป็นไปได้ยากมาก อย่างที่ได้เคยอธิบายไปแล้วในเนื้อหาก่อนหน้านี้ ดังนั้น แม้ว่ารัฐของประเทศไหน หรือกลุ่มคนใดที่ต้องการห้าม อย่างเช่นรัฐบาลจีน ได้ประกาศห้ามอย่างเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริงก็ไม่สามารถห้ามได้จริง เพราะยังมีกลุ่มคนจีนบางส่วนที่ครอบครอง และใช้งาน Bitcoin ได้ เพียงแต่ว่า ไม่สามารถใช้งานแลกสินค้า และ บริการในประเทศจีนได้ แต่กับประเทศอื่นๆ อีกมากมายที่ยังไม่ประกาศห้ามก็ยังสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้อยู่ และเช่นกัน คนจีน ก็ยังสามารถใช้ Bitcoin แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการอื่นๆ ในโลกใบนี้ได้ โดยที่รัฐบาลจีนไม่สามารถทำอะไรได้เลย

บิตคอยน์ส่งเสริมการไม่เปิดเผยตัวตน (พวกโจรเรียกค่าไถ่ มิจฉาชีพชอบ)

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : โดยปกติ กระเป๋า Bitcoin ทุกใบ ไม่มีการบันทึกข้อมูลของเจ้าของใดๆทั้งสิ้น และ การเป็นเจ้าของกระเป๋าใดๆ หรือทำธุรกรรม ก็เกิดจากการเข้ารหัสด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ เพื่อแสดงหลักฐานลายเซ็นต์ สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องเท่านั้น โดยหลักการนี้ทำให้โจรเรียกค่าไถ่ และ มิจฉาชีพ ชอบนำไปใช้กระทำความผิดมาก

Bitcoin มองว่าทุกคนเหมือนกัน

Bitcoin เริ่มต้นขึ้นมาด้วยการสร้าง Wallet ที่ทำงานแบบไม่ระบุตัวตน ดังนั้น ทุกคนสามารถสร้างกระเป๋า Bitcoin ขึ้นมาใช้งานได้ด้วยตนเอง ผ่านทางการเข้ารหัสด้วยกระบวนการทางคณิตศาสตร์ แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็น หรือ ต้องการ และไม่มีพื้นที่ให้ระบุข้อมูลเจ้าของแต่อย่างใด ซึ่งนี่คือการสนับสนุนความเป็นอิสระของความเป็นเจ้าของเงิน เพราะทุกคนจะสามารถเข้าถึง และใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร สูงหรือต่ำ(ในเชิงสถานะของสังคม) ระดับใดก็ตาม ทุกคนสามารถใช้งานได้โดยไม่มีใครกีดกัน หรือ บังคับห้ามได้

Bitcoin ไม่ส่งเสริม ไม่ห้าม จริงๆ คือไม่รู้เรื่องอะไรเลย กับการทำความผิด

โจร อย่างไรก็คือโจร และ โจร ก็จะสรรหาเครื่องมือต่างๆมาเพื่อใช้งาน ทำให้การกระทำความผิดนั้นบรรลุผล Bitcoin เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่โจรเลือกเอามาใช้ เพราะดึงข้อดีของ Bitcoin ออกมาใช้ประกอบการกระทำผิดในครั้งนั้น แต่เราจะบอกว่า Bitcoin ผิด และ ระงับห้ามใช้ Bitcoin นั้นไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้น การเขียน software หรือ แชลง มีด ก็ต้องเป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเช่นกัน เพราะเป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดในหลายครั้งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

ความจริงนี้เก่าเกินไปมาก

ปัจจุบัน เป็นที่รู้กันของผู้กระทำความผิดแล้ว ว่าการใช้ Bitcoin นั้น คือช่องทางหนึ่งที่ทำให้ถูกติดตามตัวและจับกุมได้ในท้ายที่สุดต่างหาก เพราะ Bitcoin มีการเก็บ Bitcoin ของทุกๆธุรกรรมในรูปแบบ UTXO ซึ่ง เราสามารถใช้กระบวนการตรวจสอบและติดตามทาง Computer ร่วมกับข้อมูลที่เปิดเผย (KYC) ในการติดตามเส้นทางการโอนของ Bitcoin ได้ทั้งหมด 100% ไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดใดก็ตาม ก็จะตรวจสอบได้ทั้งหมดไม่มีทางหลุดรอด และเมื่อ มีเพียงจุดเดียวที่มีการแลกเปลี่ยนออกไปเป็นเงิน Fiat ผ่านทางช่องทางที่มีการทำ KYC เอาไว้ นั่นคือจุดที่จะแสดงตัวตนของโจรออกมาเพื่อนำไปสู่การจับกุมได้ทันที (หรืออย่างน้อยก็ผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่มีตัวตนจริงๆ เพื่อใช้สืบย้อนทั้งเส้นทางกลับไปหาโจรตัวจริงได้)

เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง ที่มีการจับกุมได้ในหลายเคส และเป็นวิธีที่ใช้งานอยู่จริง จนทำให้ปัจจุบัน ประเทศสหรัฐคือประเทศที่ขึ้นแท่นครอบครอง Bitcoin สูงสุด โดยส่วนใหญ่ก็ได้มาจากการยึด โดยใช้การสืบสวน สอบสวนตามเส้นทางทั้งหมดที่เล่ามานั่นเอง

ถ้าใครยังพูดแบบนี้อยู่ แปลว่า ขาดความรู้ ความเข้าใจ และ ไม่ update เท่าทัน technology แต่ว่าตั้งใจ discredit แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อใช้งาน Lightning network กันมากขึ้น โดยละทิ้ง Network layer 1 จะทำให้เกิดความเสี่ยง

ขยายความปัญหาเพิ่มเติม : เนื่องด้วย Layer 2 ที่โอนกันได้เร็ว ถูก(ฟรี) นั่นจะเป็นแรงจูงใจพื้นฐาน (เพราะใครก็ชอบของที่ดีกว่า ถูกกว่า) และทำให้ผู้คนละทิ้ง layer 1 ไปในท้ายที่สุด

บางกรณียังจำเป็นต้องใช้งานอยู่

ในอนาคต ธุรกรรมบน Layer 1 จะมีความสำคัญมากในระดับธุรกรรมที่ต้องมีการเปิดเผยความโปร่งใสในระดับโลก พร้อมทั้งถูกตรวจสอบได้ เพราะ Layer 1 ไม่มีการปกปิดข้อมูลใดๆทั้งสิ้น และ มี Node ที่คอยตรวจสอบความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ที่ทำงานต่อเนื่องไม่เคยหยุด ดังนั้น ธุรกรรมที่ต้องการความโปร่งใสมากๆ เช่น การโอนเงินระหว่างธนาคาร หรือ โอนเงินระหว่างประเทศ แบบนี้จำเป็นต้องใช้งาน Layer 1 อย่างแน่นอน เพราะว่าธุรกรรมนั้น จะแสดงความชัดเจน ไม่ต้องใช้เทคนิคพิเศษในการตรวจสอบใดๆอีกระหว่างผู้รับ และ ผู้ส่ง ถือว่า transaction นั้น เป็นการชำระบัญชี โดยสมบูรณ์แล้ว 100% แบบสิ้นความสงสัยในทุกมิติด้วย

หรือว่าอีกกรณี ก็คือการโอนเงินด้วยจำนวนที่สูงมากๆ เพราะแบบนี้จะมีคุณค่ามากพอที่จะยอมจ่ายค่าธรรมเนียมที่แพงมากขึ้นในการทำธุรกรรม เพราะธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงๆ ที่ได้โอนเพื่อชำระบัญชีเรียบร้อยและชัดเจนใน Bitcoin Blockchain นั้น ทำให้สิ้นสงสัยได้ ด้วยการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด

Layer 1 ต้องเป็นตัวที่ขับเคลื่อน Layer 2 ตลอดไป

การทำงานของ Layer 2 ที่น่าเชื่อถือนั้น แท้จริงแล้ว ควรมาจากการขับเคลื่อนของ Layer 1 ที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา อย่างกรณีของ Lightning network นั้น การจะสร้าง Lightning node นั้น มีความจำเป็นต้อง Lock bitcoin จำนวนหนึ่ง ใน Layer 1 เอาไว้ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่า node นั้นได้สร้างขึ้นมาด้วย Bitcoin ที่มีอยู่จริง และ สามารถตรวจสอบรวมทั้งพิสูจน์ได้

การทำงานแบบนี้ ก็คล้ายกับยุคอดีต ก่อนที่รัฐบาลจะสร้างเงินขึ้นมาได้ (layer 2) ต่างก็ต้องมีทองคำ (layer 1) สำรองเอาไว้ในคลังก่อนแล้วเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่แตกต่างระหว่าง Bitcoin layer 1 กับ ทองคำ Layer 1 ก็คือ โลกของเรา เลิกสำรองทองคำ “เต็มมูลค่า กับเงินที่สร้างขึ้นมา” มาร้อยกว่าปีแล้ว (รวมทั้งประเทศไทยด้วยเหมือนกัน)

พอเป็นแบบนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่า Layer 1 จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

การเก็บรักษามูลค่าที่แท้จริง คือ Layer 1 หรือคือเงินชั้นพื้นฐานที่สุด

โดยธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเราต้องการความมั่นใจ เราก็จะเลือกเก็บสินทรัพย์ที่มั่นคงมากที่สุด โดยหากให้เลือกระหว่าง ทองคำ และ เงินสด เพื่อให้เก็บในระยะเวลานาน 10 ปี คิดว่าคนส่วนใหญ่จะเลือกอะไร? แน่นอนว่า ต้องเลือกทองคำ ด้วยเหตุผลว่า ทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ไม่เสื่อมสลาย ถูกกัดกร่อนได้น้อย ไม่เป็นสนิม และที่สำคัญ มูลค่าไม่ลดลงเหมือนอย่างที่เงินสดเป็นอยู่

Bitcoin layer 1 แม้ว่าเกือบเทียบเคียงกับ Layer 2 ได้โดยตรงก็จริง แต่ถ้าให้ผู้คนเลือกได้ว่าจะเก็บ Bitcoin layer 1 กับ layer 2 นาน 10 ปี แน่นอนว่า คนทั่วไป ก็ต้องเลือก Layer 1 อย่างชัดเจนอยู่แล้ว เพราะโปร่งใส ตรวจสอบได้ พิสูจน์ได้นั่นเอง ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่จะทำให้ผู้คนจะไม่มีทางละทิ้ง Layer 1 ออกไป

ส่งท้าย

ก็ขอจบเนื้อหา Understanding Bitcoin: Challenges and Misconceptions ทั้ง 3 episodes เอาไว้แต่เพียงเท่านี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้อ่านจะได้เข้าใจในเชิงลึก และ เห็นมุมมองที่แตกต่างตามหลัก เหตุ และ ผล มากขึ้น เพราะสินทรัพย์ตัวนี้นั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์ ปราศจากความเชื่อใจในผู้นำ ตัวคน กลุ่มคน ซึ่งเราต่างก็ได้เห็นความโลภ และ เห็นแก่ตัวของคนในระดับผู้นำมาแล้วจากหน้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในหลายๆ เหตุการณ์เลวร้ายในอดีต

แต่กับคณิตศาสตร์นั้น ก็ชัดเจนว่า ตรงไป ตรงมา พิสูจน์ความเป็นจริงได้เสมอ อีกทั้งไม่โกหก หรือ หลอกลวง เพราะ คณิตศาสตร์นั้นไม่มีความคิด หรือ ความโลภแต่อย่างใดนั่นเอง

และนั่นถึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Bitcoin ถึงได้มีตัวตนมาได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน และ อนาคตอันยาวไกลที่ยังรอคอยอยู่ข้างหน้า