ทำไมปัญหาเรื่องการเงิน ถึงแก้ยากสำหรับคนส่วนใหญ่

ช่วงหลังนี้ผมใช้เวลาค่อนข้างมาก ไปกับการเฝ้าดูผู้คน ไม่ว่าจะเป็นแบบ Online , Offline ทั้งคนไทย และคนต่างประเทศ (ใช่ครับ ไปต่างประเทศจริงๆ) โดยระหว่างที่เฝ้าดู ก็ตั้งคำถามไปด้วย และมีการได้พูดคุยบ้าง ทั้ง offline online และทั้งหมดนี้ ก็คือ ที่ผมสรุปได้จากมุมมองของผมเอง โดยเนื้อหานี้ ผมตั้งใจเอาไว้ว่า เป็นเพียงภาพสะท้อนความเป็นจริงส่วนหนึ่งออกมา เพื่อให้ได้เรียนรู้ และ ตระหนักถึง รวมทั้งจะดีกับคนที่ได้เข้ามาอ่านเอง ถ้าได้เข้าใจ และ นำไปปรับแก้ไขได้อย่างถูกต้อง เพราะผมพูดบ่อยๆถึงเรื่องความรู้ทางด้านการเงินนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไปตลอดชีวิตเรา ตราบใดที่ระบบการค้าและแลกเปลี่ยนยังคงมีอยู่ต่อไปอย่างปัจจุบัน

ปัญหาพื้นฐานที่สุด ไม่มี mindset ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการเงิน

อันนี้คือปัญหาที่แท้จริง ที่ฝังรากลึก ในจุดที่ลึกที่สุด ที่เป็นต้นขั้วของเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งจะเล่าในหัวข้อต่อๆไป

การที่เราขาด mindset ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงิน จะทำให้เราไม่ตระหนัก และ ไม่ทันได้ฉุกคิดหรือเฉลียวใจใดๆ ในการบริหารจัดการเงินแบบภาพรวมทั้งหมด ย้ำว่าทั้งหมดเลย ไม่ได้เจาะจงแค่ วิธีการหาเงิน หรือ วิธีการเก็บเงินเท่านั้น แต่มันคือทุกเรื่องเลยจริงๆ

ถ้าจะพูดให้เข้าใจชัดขึ้นอีก การที่ขาด mindset ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงิน เป็นอย่างไร คือคนที่มีแนวคิดประมาณนี้….

  • เงินเป็นสิ่งที่ขาดแคลน และหาได้ยาก
  • เมื่อเราได้เงินมา เดี๋ยวมันก็จะต้องจากเราไป อยู่กับเราไม่นาน
  • ได้เงินก้อนใหญ่มา ต้องรีบใช้ ก่อนที่มันจะหมดไป
  • สร้างเงินเองไม่ได้หรอก ต้องถูกหวย รวยหุ้นเท่านั้น
  • ถ้าวันนึงฉันได้เงินเยอะ ฉันจะเกษียณแน่นอน (แต่ไม่รู้ว่าเกษียณเป็นอย่างไร)
  • คนที่มีเงินเยอะ เพราะโกงเค้ามาทั้งนั้น คนทำดี ได้เงินน้อยๆทั้งนั้นแหล่ะ

นี่เป็นเพียงตัวอย่างแนวคิดที่แสดงออกถึงการขาด mindset ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ที่เรามักจะเห็นได้โดยทั่วไป

วิธีแก้ไข mindset ที่ถูกต้อง เกี่ยวกับเรื่องการเงิน

ถ้าคุณต้องการแก้ไขไม่ยากเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเปิดใจเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ก่อนเป็นสิ่งแรก เพราะถ้าเรามีความคิดแบบนั้นมานานค่อนชีวิต (นับตั้งแต่ได้จับเงิน จวบจนปัจจุบัน) แล้วจะเปลี่ยน mindset ได้ เป็นเรื่องที่ยาก แต่ว่าถ้าฝึกบ่อยๆ ทบทวนบ่อยๆ หรือ สอนตัวเอง ในด้านที่ถูกต้องบ่อยๆ สมองเราสามารถพัฒนาได้ แม้ว่าอายุเราจะเกิน 60 แล้วก็ตาม อย่างที่เค้าว่าไม่มีใครแก่เกินเรียนนั่นแหล่ะ

mindset ที่สำคัญที่สุด ก็คือ มองว่า เงิน เป็นเพียง เครื่องมือแลกเปลี่ยนมูลค่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความดีความชั่ว ไม่ได้ทำให้เป็นคนที่ดีขึ้นหรือต่ำลง ไม่มีความรวยความจน เงิน เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ว่า ก็ไม่สามารถหายไปได้เองโดยธรรมชาติได้เช่นกัน

อีก mindset ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ “เราเป็นคนควบคุม แต่เพียงคนเดียว” ปัจจัยภายนอก มีมากระทบได้ แต่ท้ายที่สุด เราจะเป็นคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจสุดท้ายในทุกเรื่องอยู่ดี

ผมเคยอ่านมาจากที่นึง แต่จำไม่ได้จริงๆว่ามาจากไหน เค้าบอกว่า “ถ้าเราเกิดมาในครอบครัวที่จน ไม่ใช่ความผิดเรา แต่ถ้าเราตายแล้วเรายังจน นั่นล่ะคือความรับผิดชอบของเรา” ผมคิดว่าจริงนะครับ โดยเฉพาะเมื่อเรามี mindset ที่ถูกต้องแล้ว เราก็จะเข้าใจมันอย่างดีเลยล่ะ

ปัญหาถัดมา ไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเงิน

บางคนผมเห็นว่าเค้าเริ่มมี mindset ทางการเงินแล้ว เค้าเข้าใจ และมองเห็นแล้วล่ะ ว่าเงินก็เป็นเพียงเครื่องมือบางอย่างเท่านั้น แต่ว่าก็ไม่รู้จะบริหารจัดการมันยังไง ไม่รู้ว่าจะหาเพิ่ม จัดเก็บ หรือเข้าใจรายละเอียดมันได้อย่างไร ผลสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เราเห็นกัน คือเกิดปัญหาทางด้านการเงินส่วนบุคคลขึ้นมา ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆด้วยเหมือนกัน คือเป็นปัญหาระดับประเทศเลยนะ

อันนี้ จะขยับขึ้นมาอีกขั้นนึง ก็คือ เริ่มมีความตระหนักรู้แหล่ะ และพยายามจะแก้ปัญหา แต่ว่าก็ยังแก้ไม่ได้ หรือว่าหาทางออกไม่ได้ เพราะว่าขาดความรู้ที่จะเอามาใช้

ถ้าให้ยกตัวอย่าง คนที่ขาดความรู้ที่ถูกต้องด้านการเงิน ส่วนตัวคือว่าคนที่ไม่เข้าใจคำศัพท์ดังต่อไปนี้ ในแบบที่อธิบายรายละเอียดได้ และนึกออกว่าเอามันมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ในตอนไหน เช่น มูลค่าของเงิน, ดอกเบี้ย (ทุกรูปแบบ ที่ทำให้เพิ่ม/ลด จากเงินต้นได้), เงินเฟ้อ, เงินฝืด, กำไร, ภาษี (เน้นหลักที่เรื่อง ที่เกี่ยวกับส่วนบุคคล ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, VAT), การทบต้น และไม่ทบต้น, ออม, เงินออมเผื่อฉุกเฉิน, ลงทุน, พนัน, asset allocation, ความเสี่ยง, ประกันสุขภาพ, ประกันชีวิต, งบดุลส่วนบุคคล, cash flow statement, การวางแผนค่าใช้จ่าย, เกษียณ, อิสระภาพทางการเงิน, passive income, ความรวย, ความมั่งคั่ง, กองทุน, ตราสารหนี้, ตราสารทุน, อนุพันธ์, ตลาดล่วงหน้า ฯลฯ

ฟังดูแล้วน่าตกใจใช่มั้ยครับ อะไรมันจะเยอะแยะขนาดนั้นที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ บางคนอาจจะเห็นแล้วท้อใจปิดหน้าจอไปเลย แต่บางคนก็คิดว่านี่แหล่ะคือแนวทางที่จะนำไปสู่ทางออกทางการเงินที่ตามหา ซึ่งนี่แหล่ะครับ ก็คือ mindset เรื่องการเงิน อย่างที่บอกแหล่ะครับ mindset เป็นเรื่องที่จะคอยกระตุ้นให้เรามีมุมมองต่อเรื่องนั้นๆอย่างไร บางครั้งกระตุ้นเราให้สนใจ อยากจัดการ แต่ดันไม่มีความรู้ หรือบางครั้งก็กระตุ้นให้เลิกเถอะ มันยากเกิน mindset ทำงานแบบนี้

ผมจะบอกให้อย่างนึงครับ ทั้งหมดนั้น คุณไม่ได้ต้องเรียนรู้ทั้งหมดได้ ใน 1 วัน หรือ เอาไปโยนให้ AI อธิบายให้ฟังจบใน 5 นาที แต่ทั้งหมดนี้ควรเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ให้เวลากับมัน เพราะเมื่อเราให้เวลาและความสนใจกับเรื่องอะไรอย่างต่อเนื่อง นานประมาณนึง เราจะจำมันได้ เข้าใจ และประยุกต์ใช้งานได้จริงง่ายขึ้น และ คล่องขึ้นเรื่อยๆด้วยครับ อย่างที่เกริ่นไว้เลย รู้แล้วใช้ได้ทั้งชีวิตครับ แล้วทำไมเราถึงไม่อยากเรียนรู้กันล่ะ?

แต่บางคนก็อาจจะบอกว่า รู้แล้วทั้งหมดนี้ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเลยก็เห็นมีเยอะแยะ อย่างพวกกูรูการเงินหลายๆคนก็ติดกับดักอยู่ด้วยเหมือนกัน คือ รู้ เข้าใจ มี license แต่ตัวเอง ก็ยังไปไม่รอด เพราะว่าขาดสิ่งต่อไป ที่จะเล่าต่อนี่แหล่ะ

วินัยที่มากพอที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเอง

คำโบราณเค้าว่าไว้ ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ก็เป็นภาพที่ชัดเจนที่สุด สำหรับคนทีมีความรู้ด้านการเงินมากมาย แต่ว่าตัวเองกลับไม่ประสบความสำเร็จในด้านการเงินเช่นกัน ยังต้องทำงาน ดิ้นรน เพื่อให้ได้มีรายได้สำหรับเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว แต่ว่าก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ เพราะคนที่เรียนรู้เรื่องการเงินอย่างลึกซึ้ง ก็มักจะมีวิธี และ ช่องทางในการนำตัวเองไปอยู่ในจุดที่ดีกว่าเดิมได้อยู่ตลอดเวลานั่นแหล่ะ ไม่เหมารวมกัน

ทีนี้กลับมาที่คนทั่วไป ทำไมเราเปลี่ยนชีวิตตัวเองยังไม่ได้ โดยพื้นฐานเราทุกคนจะมีความขี้เกียจอยู่ในตัวเสมอ เพราะมันเป็นเหมือน program ที่ฝังอยู่ในหัวเราให้เราพยายามประหยัดพลังงานเอาไว้ตลอดเวลา เพราะเราต้องใช้พลังงานในการเอาตัวรอด จากนักล่า หรือว่าเอาพลังงานไปใช้เพื่อการหาอาหารมาดำรงชีวิต(ย้อนไปในอดีตสักประมาณ แสนปี) และ มีพลังงานมากเพียงพอสำหรับการสืบพันธ์ุต่อไป นั่นแหล่ะ คือสิ่งที่ program เราอยู่เมื่อเป็นแบบนั้นเราก็จะมีความขี้เกียจ เป็นทุนเดิม ถ้าไม่เชื่อลองมองสินค้า และ บริการต่างๆที่อยู่รอบตัวดูก็ได้ครับ ทั้งหมดเหล่านั้น ก็เพื่อทำให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้นจริงหรือไม่ ยุคนี้ เราแทบไม่ต้อง ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นอาหารให้กับตัวเราอีกแล้ว เรานอนกระดิกเท้าที่โซฟา ไถมือถือ แล้วอาหารก็พร้อมส่งให้เราที่หน้าประตูได้เลย (เราก็เลยมีแนวโน้มอ้วนขึ้นด้วย เพราะกินได้ง่ายขึ้น ออกกำลังกายได้ยากขึ้น เพราะสมองสั่งสงวนพลังงานเอาไว้)

และเมื่อเป็นแบบนั้น วินัย หรือ แรงที่จะเอาไปทำอะไรที่ยากก็ไม่มีอีกต่อไป เพราะทุกอย่างดูง่ายไปหมด ทำไมต้องทำอะไรที่ยากๆด้วยล่ะ (ไม่ได้ถูกฝึกให้มาเจอกับความยากลำบาก) มันก็จะลามไปถึงเรื่องๆอื่นๆ อย่างเรื่องเงินก็ด้วยเช่นกัน หลายครั้ง เรารู้ว่าการจ่ายเงินนี้ หรือ การซื้อสินค้าบริการนี้ ไม่ดีต่อเงินในกระเป๋า แต่มันก็มีแรงผลักดันบางอย่าง ที่ยังทำให้เราต้องทำแบบนั้นลงไป ไม่ว่าจะเป็นความอยากมี อยากได้ อยากลอง อยากสัมผัส อยากรับรู้ และจังหวะนั้นแหล่ะ ที่เราขาดวินัยในการจัดการไปแล้ว

วินัย ในเรื่องการเงิน คืออะไรกันล่ะ? จริงๆ มันคือ การทำงานของจิตใจ ที่ใช้เพื่อผลักดันให้เราทำอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเงิน อย่างมีความรู้ เพื่อให้เงินเพิ่มจำนวนขึ้น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า เมื่อเงิน หรือความมั่งคั่งเราเพิ่มขึ้น เราก็จะมีชีวิตที่เบาขึ้น สบายขึ้น และการจะตัดสินใจทำ หรือ ไม่ทำอะไร ก็จะง่ายขึ้นมาก แต่นั่นคือปลายทาง ระหว่างทางต่างหากที่ยากและยาวนาน เพราะเรื่องการเงิน เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการมันทั้งชีวิต และในเมื่อมันไม่งอกออกมาได้เอง เราก็ต้องบริหารจัดการมันตลอดเวลา เพื่อให้มันเพิ่มขึ้น หรือ เพื่อรักษามันเอาไว้ และ มันไม่หายไปเอง ดังนั้น เราก็ต้องจัดการเรื่องการใช้งานด้วยเช่นกัน โดยระหว่างทางที่ยาวนานนั่นแหล่ะ ต่างต้องใช้ mindset ที่ถูกต้องเป็นเครื่องนำ และ ขับเคลื่อนด้วยความรู้ รวมทั้ง วินัย เป็นตัวผลักดันเพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอ และ ต่อเนื่อง แม้ว่ามันจะน่าเบื่อสุดๆก็ตาม

ยกอีกเคสที่สำเร็จ โดยไม่ต้องมี mindset + ความรู้ + วินัย ก็คือซื้อหวยแล้วถูกรางวัลที่ 1 สัก 10 ล้านบาท ก่อนจะได้รางวัล ก็คิดเสมอว่าสบายไปตลอดชีวิตแน่นอนขอให้ถูกด้วยเถิด แต่เมื่อถูกจริงๆ เชื่อผมสิ ถ้า mindset ไม่ได้ ความรู้ยังไม่มี วินัย ก็ไม่เคยเกิด เพียงไม่กี่ปี 10 ล้านก็หมดได้ แล้วชีวิตเกษียณก็จะหายไปหลังจากนั้น กลับมาเป็นคนทำงานอย่างเดิม สบายตลอดชีวิตไม่มีอีกต่อไป เหมือนที่เค้าเรียกกันว่า ‘สามล้อถูกหวย’ นั่นเอง

ขั้นสุดท้าย คือ จิตใจ

เส้นทางเพื่อไปสู่ความสำเร็จ มันไม่ง่ายหรอกครับ เกือบทุกคนก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ต่างต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมากันทั้งนั้นนะ ทั้งจากประสบการณ์ตัวผมเอง และจากที่เคยฟัง และ อ่าน รวมทั้งดูเรื่องราวคนหลายคน ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน คือต่างผ่านความยากลำบากอย่างยาวนาน เท่านั้นไม่พอ ระหว่างทาง ก็ล้มเหลวเป็นระยะๆ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้ในท้ายที่สุด สิ่งที่น่าสนใจ คือ แล้วช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้น คนเหล่านั้นผ่านมาได้อย่างไร ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ คำตอบก็คือ mindset + ความรู้ + วินัย + จิตใจ โดยเฉพาะจิตใจ ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้ เราพร้อมเลิกได้ตลอดเวลาเลยล่ะ แต่จิตใจที่สู้ เป็นสิ่งที่บอกให้เราอย่าพึ่งเลิก อย่าพึ่งท้อ และ วินัยจะส่งเสริม ให้เราเรียนรู้มากขึ้น เพื่อเติมระดับความรู้ บนหลักการที่ถูกต้อง บนการคิด บนการกระทำ ที่ถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆครั้ง รวมทั้งติดตาม วัดผล ปรับปรุง ทำต่อ แล้ววนๆไป แม้ว่ามันจะช้า ซ้ำซาก น่าเบื่อก็ตาม

ผมเองก็เคยผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว คือช่วงเวลาที่ต้องใช้วินัย พร้อมทั้งความอดทนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ความเสียใจ ผิดหวัง จากการลงทุนที่ขาดทุน หรือ เกิดความเสียหาย แต่ว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ต้องเรียนรู้ ปรับปรุง เพื่อยกระดับตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ จะเร็วหรือช้า ก็ไม่ใช่ประเด็นเท่ากับเราจะยกระดับตัวเองขึ้นไปได้นานและต่อเนื่องแค่ไหน เค้าวัดกันที่สิ่งเหล่านั้นต่างหาก

เหนือสิ่งอื่นใด คือความสงบสุข เบาสบาย อิสระ

สุดท้ายแล้ว เราต้องย้อนกลับมาถามว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ชีวิตเราหาเงินเพิ่มขึ้น ไปเพื่ออะไร หน้าตาความสำเร็จเป็นแบบไหน เราต้องการอะไร จากที่ผมเฝ้าดูผู้คนมากมายสุดท้ายก็ไม่ต่างกันมาก ก็คือ ต้องการความสงบสุข เบาสบาย และเป็นอิสระ นั่นคือเป้าหมายที่ทุกคนต้องการในชีวิตใช่หรือเปล่า? เราไม่หาเงินเพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้ชีวิตเราแน่ๆ ถ้าเรายิ่งมีเงินเยอะ ชีวิตเรายิ่งยุ่งยาก เราก็สู้หยุดอยู่เฉยๆ เบาๆ สบายๆ ไม่ดีกว่าหรือ? แต่จริงๆ มันก็มีเรื่องเงินอีกด้านนึงด้วยนะ ที่น่าปวดหัวสำหรับคนมีเงินเยอะมาก ก็คือ คนที่มีเงิน 100 ล้านบาท ถ้าไม่ใช้ ไม่หาเพิ่มเลย ทุกๆปีที่ผ่านไป มูลค่าของเงินมันจะลดลงจากเงินเฟ้อ ปีละ 4-6 % หรือ 4-6 ล้านบาท เลยทีเดียว ทั้งที่ไม่ได้ใช้เลยก็ตาม นี่ก็เป็นปัญหาที่ตามมาของการมีเงินเยอะอีกแบบด้วยเหมือนกันนะ

บางครั้ง เราก็หลงลืมไป ลืมคิดว่า เป้าหมายเราต้องหน้าตาแบบไหน เราเลยกลายเป็นเหมือนคนที่ถูก program มาให้ทำงาน หาเงิน เก็บเงิน ออมเงิน จนวาระสุดท้ายของชีวิต บางคนอาจจะ พยายามแหกกฎนี้ ด้วยการเอาเงินที่หามาได้ ไปซื้อความสุขระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือบริการต่างๆ แต่เกิดความผิดพลาด (หรือไม่ได้จะบริหารแต่แรก) จนทำให้การใช้เงินมากกว่าที่ตัวเองหาได้ สุดท้าย ชีวิตที่เกิดมาทำงานทั้งชีวิตว่าน่าเศร้าแล้ว ต้องมาพบว่า ทำงานทั้งชีวิตก็แล้ว ยังกลายเป็นหนี้ท่วมไปอีก (ติดลบ ต่ำกว่าเสมอตัว) อะไรจะแย่ขนาดนั้น แล้วแบบนี้ จะกินอิ่ม นอนหลับได้มั้ย พะวงหน้า พะวงหลัง ว่าของที่มีจะหายไปเมื่อไร จะโดนยึดตอนไหน จะมีที่นอนมั้ย จะกินอะไรยังไงต่อไป สารพัดความกลัวถาโถม เศร้ายิ่งกว่าทำงานแล้วตายไปเสียอีก

แต่ถ้าเรากลับมาสู่สิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด ก็คือ ความสงบสุข ที่ไม่ต้องหาอะไรยาก เปิดวิทยุฟังเพลงไปเรื่อยๆ ทำจิตใจให้สบายๆ อยู่กับสิ่งของที่เรามี พอใจในชีวิตปัจจุบัน ทำงาน ก็เพื่อให้ได้งาน และผลตอบแทนเป็นเงิน จะได้ไม่ต้องเครียด แต่พุ่งเป้าไปที่ความคิดที่ถูกต้องแทนเป็นเรื่องหลักเหนือสิ่งอื่นใดก่อน เช่น ตั้งใจทำงานให้เต็มที่ แต่ไม่ใช่เพื่อเงิน มันคือเพื่องาน เอาหลักการที่ถูกต้องเป็นเครื่องนำทางก่อน สุดท้าย เงินมันจะตามมาเองไม่ต้องห่วงหรอก

แบบนี้เราก็จะหาเงินได้สม่ำเสมอ ใช้เงินได้น้อยลง แล้วสะสมเงินได้มากขึ้น (เพราะเรามีแนวคิดตามหลักการที่ถูกต้องกับทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต) และเมื่อเรามีเวลามากขึ้น ก็วนหาความรู้ต่อเนื่อง แบบสบายๆ ไม่ต้องเครียด เพราะมันไม่ใช่การสอบแข่งขัน หรือ ต้องวัดผลเทียบกับใคร มีแต่ตัวเรา กับคนรอบตัวเราเท่านั้น ที่จะได้รับผลสำเร็จนั้นจากสิ่งที่เราทำ และ พยายาม

ท้ายที่สุด ความพยายาม ความรู้ วินัย และ ความอดทนของจิตใจ ก็จะนำพาความสำเร็จมาให้เราได้เอง

วันที่เราสำเร็จ ก็คือวันที่เราเป็นอิสระจากสิ่งต่างๆรอบตัวเราทั้งหมด เหมือนการปลดปล่อย ลองจินตนาการตาม ว่าถ้าเรามีเงินเยอะมากพอ ที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ลดคุณภาพชีวิตต่ำติดดินแบบอดๆอยากๆ ได้กิน ได้เที่ยว ได้ใช้ตามความเหมาะสม ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินตัว โดยที่เราไม่ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาเติมอีกแล้ว และมีพอได้ใช้แบบนี้ไปจนอายุ 70 เลย ชีวิตนั้นจะดีแค่ไหน? เท่านั้นยังไม่พอ เรายังบริหารจัดการความเสี่ยง โดยใช้ประกันเป็นเครื่องมือไว้อีกด้วย นั่นแหล่ะ คือความอิสระอย่างแท้จริง ที่เราไม่ต้องทำงานที่เราไม่อยากทำ (แต่ดันต้องทำเพราะต้องการเงิน) และเราเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำงานอะไร ตามที่เราต้องการ เพียงแค่เพราะเราอยากหรือไม่อยาก ก็ถือว่าเป็นความอิสระขั้นสูง ที่เราสามารถออกแบบชีวิตเราได้ อยากกินอะไรก็ได้กิน แบบไม่เดือดร้อน อยากไปไหนก็ได้ไป แบบไม่เดือดร้อนอีกเช่นกัน

แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่า ทุกคนต้องมีเป้าหมายเหมือนๆกันอย่างที่ผมเขียนหรอก เพราะ 8 พันล้านคน เราล้วนแตกต่างกันทั้งหมดเลย แม้ว่าฝาแฝดใข่ใบเดียวกันก็ตาม แต่การทำงานระดับเซลล์ก็ยังล้วนแตกต่างกันอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ เราต้องไม่ลืมที่จะตั้งเป้าหมายของเราก่อนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ไม่อย่างนั้น เราจะเหมือนเรือที่ลอยอยู่กลางทะเล บางวันเจอคลื่นซัดไปทางซ้าย อีกวันลมดี พัดไปทางขวา หรือแม้กระทั่ง วันที่ฟ้าเปิด คลื่นลมสงบ เราก็ไม่แม้แต่จะบังคับไปไหน เพราะเราไม่มีเป้าหมายนั่นเอง