วันนี้มาชวนตั้งคำถามกับเรื่องที่มีผลต่อทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน เราทุกคนล้วนมีสิ่งนี้อยู่ร่วมเป็นพื้นฐานกันอย่างแน่นอน ลองค่อย ๆ หาเวลาอ่าน แล้วลองคิดตามกันไปเรื่อยๆดูครับ
อะไรคือแรงผลักดัน ?
ลองตอบคำถามนี้ดูครับก่อนที่เราจะคุยกันต่อ “คุณคิดว่า อะไรคือแรงผลักดันให้คุณขับเคลื่อนชีวิตของคุณต่อไปได้ในทุกๆวัน ?” คำตอบก็น่าจะหลากหลายถ้าให้ผมเดาคำตอบก็น่าจะมีประมาณนี้ครับ เงิน อาหาร น้ำ ครอบครัว (ทุกความสัมพันธ์ ในเครือญาติ จนถึงระดับ สามีภรรยา ลูก) เครื่องดื่มที่ถูกใจ เพลง ดนตรี ละคร พักผ่อน แม้กระทั่งหนี้ก็อาจจะเป็นคำตอบด้วยเช่นกัน ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นอะไรซึ่งอาจจะนอกเหนือจากนี้ก็ได้ ทั้งหมดที่คุณตอบมานั้นถูกต้องครับ สิ่งเหล่านั้นคุณได้ยึดถือเป็นแรงผลักดัน เพื่อให้ชีวิตก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ในทุก ๆ วันถือว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะเนื้อหาก่อนนี้ (หนทางสู่เป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงคุณตั้งใจจริง) เราพูดคุยกันถึงเรื่องเป้าหมาย แต่ในระหว่างทางก็ควรมีสิ่งที่ใช้เป็นแรงผลักดันเพื่อเสริมพลังให้เราไปถึงเป้าหมายในระหว่างการเดินทางที่ยาวนานนี้
แต่เนื้อหานี้ผมจะพาทุกคนดำดิ่งลึกลงไปกว่านั้นอีก….
ต้นทุนของชีวิต
เคยมีแว้บ ๆ ที่คิดบ้างหรือเปล่าครับว่า เวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ตั้งแต่ลืมตาดูโลกมาจนถึงปัจจุบันมีอะไรที่เราต้องจ่ายออกไปบ้างนอกเหนือจาก “เงิน” และเราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อีกต่อไปถ้าสิ่งนี้หมดไปจากเรา
บางคนอาจจะได้คำตอบแล้วนั่นคือ “เวลา”
เนื้อหาวันนี้ผมจะพาทุกคนเข้าไปสู่เรื่องของ “เวลา” ในแบบเชิงลึกที่ชวนให้คิด และผมเชื่อเหลือเกินว่า มีผลกระทบกับชีวิตทุกคนอย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ไม่ผูกพันกับเวลา และ เรื่องของเวลาเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงโดยเฉพาะทางฟิสิกส์ที่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ต้องกังวลผมไม่พาทุกคนออกอวกาศเกินจินตนาการอย่างแน่นอน
เวลาเป็นของคุณ แต่คุณไม่ใช่เจ้านาย
ตั้งแต่เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา ทุก ๆ สิ่งมีชีวิตจะมีเวลาเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่ได้เป็นเจ้านายเวลา หรือควบคุมเวลาได้ เวลาจะเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุด แม้ว่านักฟิสิกส์กำลังหาทางหยุด หรือ แม้กระทั่งพยายามย้อนเวลาอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถทำได้จริง
ลองจินตนาการดูครับ ถ้าเราเป็นเจ้านายของเวลา เราจะมีอำนาจควบคุมในรูปแบบที่เราต้องการ ขอแค่หยุดเวลาได้เราจะมีเวลาเพิ่มขึ้นเพื่อปั่น Project ต่าง ๆ ส่งอาจารย์ได้ทันตั้งแต่สมัยเรียน เราจะไม่พลาดนัดที่สำคัญและมีผลต่อชีวิตเราในอดีต หรือ เราจะมีเวลาคิด เพื่อตัดสินใจครั้งสำคัญได้ดีกว่าที่เราเคยตัดสินใจมา หรือแม้กระทั่งเราอาจจะหยุดเหตุการณ์เลวร้ายครั้งยิ่งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตด้วยการหยุดเวลา และปรับปัจจัยบางอย่างเพียงเท่านั้นเหตุการณ์นั้นจะลดความรุนแรงลงไปทันที แต่เราทุกคนต่างรู้กันว่า นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ทุก ๆ สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตล้วนอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน ไม่มีใครแหกกฎธรรมชาตินี้ได้ นี่คือกฎเกณฑ์ที่ทุกคนใช้เหมือนกันไม่มีใครเหนือกว่าใคร (ผมจะไม่ลงลึกไปถึง ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษที่อธิบายว่าเวลาสามารถเคลื่อนที่ช้าลงได้ เพราะจะลึกกว่าเนื้อหานี้มาก และจะทำให้สับสนด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษก็ยังไม่สามารถหยุดเวลาได้อยู่ดี)
เราต้องได้รับเวลาเป็นต้นทุนของชีวิต
ถ้าคนที่มีอายุหน่อยน่าจะเคยดูภาพยนตร์เรื่อง In Time มาแล้ว เรื่องนี้ดีมากจริง ๆ ถ้าใครยังไม่เคยดูอยากให้ได้ลองดู เนื้อหาคร่าว ๆ แบบไม่ spoil ก็คือ ทุกคนบนโลกจะมีเวลาเป็นของตัวเอง โดยแสดงตัวเลขอยู่บนแขน และนับถอยหลังไปเรื่อย ๆ เวลานี้ถ่ายโอนให้กันได้ และถ้าใครนับถอยหลังจนเหลือศูนย์ก็จะหมดเวลา ก็คือตายทันที ดังนั้น จึงมีทั้งคนที่อายุสั้น และคนที่เป็นอมตะด้วยอันเนื่องจากเวลาบนแขนมีเยอะจนเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้หมด (ความเจริญเติบโตทางร่างกายจะถูกหยุดไว้ตอนอายุครบ 25 ปี และใช้ชีวิตต่อไปตราบใดที่เวลาบนแขนของตัวเองไม่หมด ซึ่งจะได้เพิ่มจากการโอน หรือ ทำงานรับจ้าง)
ภาพยนตร์เรื่องนี้อธิบายเรื่องเวลาเป็นของทุกคนได้อย่างชัดเจนแบบเข้าใจง่ายที่สุด คือ เวลาจะเดินหน้าเสมอ (ทำให้เหลือเวลาในชีวิตน้อยลง) ในภาพยนตร์เราสามารถต่ออายุเราได้ หรือตายได้ทันทีถ้าต้องการ (มีคนที่ไม่ต้องการเวลาอยู่จริง คือคนที่ฆ่าตัวตายนั่นแหล่ะ โดยการถ่ายโอนให้คนอื่นจนหมด) ทำให้สามารถสะท้อนชีวิตจริงได้หลายแง่มุม
กลับมาที่ชีวิตจริงผมอยากชวนให้ทุกคนคิดแบบเดียวกันคือ เราได้รับเวลา เพื่อมาเป็นต้นทุนการใช้ชีวิตจริงในทุก ๆ ขณะที่เวลาเดินไป แม้กระทั่งวินาทีนี้ที่ทุกท่านได้อ่านอยู่ ณ บรรทัดนี้ ก็ได้รับเวลามาเพื่อให้ได้ทำกิจกรรมการอ่านอยู่ในตอนนี้เวลานี้ด้วยเหมือนกัน
เมื่อเข้าใจแนวคิดนี้ได้แล้ว คุณจะรู้สึกได้ทันทีว่าชีวิตเราที่เดินหน้าอยู่ได้ เพราะได้รับเวลามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนเราไปข้างหน้า (ด้วยการใช้ไปกับอะไรบางอย่าง) และเมื่อไรที่เราไม่ได้รับเวลามาเพิ่มนั่นคือจุดสุดท้ายของชีวิตเรา ซึ่งเราไม่รู้ว่าคือเมื่อไร
ทุกคนเท่าเทียมกัน
ด้วยเหตุผลที่ทุกคนได้รับเวลาเท่ากันนี้รวมเข้ากับหลักการทางฟิสิกส์ที่ยังไม่มีใครใช้กลโกงในการเพิ่มเวลาให้ตัวเองได้ ดังนั้น ทุกคนจึงเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิตไม่มีใครเหนือกว่าใคร ยังไม่มีใครโกงเพื่อหยุดเวลา หรือ ย้อนเวลาได้ ขอให้จำไว้ว่า ด้วยพื้นฐานนี้จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน
เปลี่ยนเวลาเป็นสิ่งต่างๆ
มนุษย์เรามีความสามารถขั้นสูงกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น โดย เราสามารถเปลี่ยนเวลาเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการได้ อันนี้คือสิ่งนึงที่ทำให้เราเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น
การแปลงเวลาเป็นสิ่งอื่นนั้นจะต้องประกอบด้วยความรู้และพลังงาน เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ก็คือ “การเอาตัวรอด”
ตัวอย่าง ในอดีตตอนที่เรายังอาศัยกันอยู่ในถ้ำ เพื่อเอาตัวรอดจากสภาพอากาศที่เลวร้ายเรามีความรู้ว่าเราจะต้องเอาตัวรอดด้วยการกินอาหาร + เราต้องมีพลังงานในการออกล่าหาอาหารเพื่อทำให้เรา รอดชีวิต เติบโต สืบพันธ์ ต่อไปได้ ดังนั้น เราจะต้องใช้ความรู้ในการล่าสัตว์และความรู้ในการเก็บของป่าที่กินแล้วไม่ตาย และลงมือทำจริง ๆ คือการใช้พลังงานไปล่าสัตว์หรือเก็บผลไม้ในป่า เพื่อให้เราได้อาหาร จึงได้สมการว่า [เวลา x ความรู้ x พลังงาน] = รอดชีวิต ซึ่งสิ่งนี้คือพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทุก ๆ อย่าง (แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานก็ตาม) และวนทำไปแบบนี้จนวาระสุดท้ายของชีวิตคือ เมื่อหิวก็ออกหาอาหารคาดหวังผลลัพท์เป็นการรอดชีวิต และทำแบบนี้วนไปเรื่อย ๆ
ตัดภาพมาที่มนุษย์ปัจจุบันเราใช้ความรู้ในเวลาที่เราทำงานและในการทำงานเราก็ใช้พลังงาน เพื่อลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ในงานของเรา เมื่อรวมทั้งสามสิ่งเข้าด้วยกัน เราจะได้รับ “เงิน” เป็นสิ่งตอบแทน นั่นหมายความว่าเราแปลง [เวลา x ความรู้ x พลังงาน] = เงิน ที่สามารถตีความหมายเป็นความอยู่รอดได้ นี่คือพื้นฐานของมนุษย์ปัจจุบันและวนทำไปแบบนี้จนวาระสุดท้ายของชีวิต (ทำไมเหมือนสัตว์เดรัจฉานเลยแฮะ….. แต่เปลี่ยนจากความอยู่รอด เป็นเงินซึ่งเป็นตัวแทนของความอยู่รอดเท่านั้นเอง)
ณ จุดนี้คนที่มีอะไรในสมการไม่ว่าจะเป็น ความรู้ หรือ พลังงาน ที่มีระดับเหนือกว่าคนอื่นก็จะได้ผลลัพท์ที่เหนือกว่าคนอื่นด้วยเช่นกัน
สมการ ประกอบด้วยสามสิ่ง เวลา ความรู้ พลังงาน และผลลัพท์เกิดจากการคูณกัน เพื่อขยายผลให้มากขึ้นทั้งทางที่ดีและแย่ ถ้าเราเพิ่มระดับอะไรบางอย่างเข้าไปในสมการ ผลลัพท์จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ กลับกัน ถ้าเราลดอะไรบางอย่างลง ผลลัพท์ก็จะลดลงเป็นทวีคูณและนี่คืออีกหนึ่งความลับที่คุณได้เรียนรู้จากเนื้อหานี้ครับ เราต่างรู้ว่า “เวลา” ทุกคนจะเท่าเทียมกันเสมอไม่มีใครโกงใครได้ แต่ว่าความรู้และพลังงานที่เราทุกคนเลือกเปลี่ยนได้ ทั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลงอันจะส่งผลต่อผลลัพท์ด้วยเช่นกัน นั่นแปลว่า เราประมาณการณ์ผลลัพท์ได้โดยการกำหนดระดับความรู้และระดับพลังงานในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องใช้เวลาทำนั่นเอง
การสะสมของผลลัพท์
อีกหนึ่งความฉลาดของมนุษย์คือการสร้าง “เงิน” ขึ้นมา เพื่อทำให้เราเก็บสะสมผลลัพท์ได้ เพราะเงินไม่บูดและมันมีมูลค่า เพื่อแลกสินค้าบริการอื่นได้อย่างที่เราต้องการ (ขอละเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าลดลงไว้ก่อน) การสร้างเงินนั้นทุกคนอยู่บนสมการเดียวกัน ก็คือ [เวลา x ความรู้ x พลังงาน]
ในการสะสมของผลลัพธ์นี้เองที่ทำให้เกิดความแตกต่างขึ้นในอนาคตของแต่ละบุคคลได้ และเราทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว กับกิจกรรมที่เรียกว่า “การออม” เพราะการออมก็คือการสะสมของผลลัพท์ (เงิน) ที่ได้จากการเปลี่ยน เวลา ความรู้ พลังงาน นั่นเอง เมื่อเราเริ่มออมแล้วเราจะสามารถสะสมสิ่งที่เทียบเคียงกับ [เวลา x ความรู้ x พลังงาน] เอาไว้ใช้ในอนาคตได้ แต่บางส่วนเราก็จำเป็นต้องเอามาใช้เพื่อการดำรงชีวิตด้วย
เราจะพักเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เอาไว้ตรงนี้ก่อน เพราะเนื้อหานี้จะไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินเป็นเรื่องหลักครับ
สมการ เวลา x ความรู้ x พลังงาน คือตัวชี้อนาคต
เวลาเดินหน้าไปอย่างไม่เคยหยุดเราจึงจำเป็นต้องเลือกให้ดีที่สุด ที่จะใช้เวลาแต่ละวินาทีไปกับอะไร ณ จุดนี้ผมไม่สามารถตอบได้ว่า ควรใช้เวลาไปกับอะไรจะดีที่สุดเนื่องจากเป้าหมายของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ทุกคนต้องพิจารณาเองว่า สิ่งที่เรากำลังเลือกทำตอนนี้พาเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการได้จริงหรือไม่
จุดที่สำคัญตรงนี้ก็คือผลลัพท์จากการใช้เวลา “ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเงิน” จุดนี้หลายคนทำผิดพลาด ผมเองก็เคยผิดพลาดเพราะเคยให้ความสำคัญกับเงินเป็นสิ่งที่สูงที่สุด อะไรที่เราเสียเวลาไปทำแล้วไม่ได้เงินจะรู้สึกผิดกับตัวเองว่าทำไมเราไม่เอาเวลานั้นไปสร้างเงินล่ะสิ่งนี้ช่างเสียเวลาจริง ๆ อะไรแบบนี้
เพราะ สมการ [เวลา x ความรู้ x พลังงาน] สามารถเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการและส่งผลกับตัวเรา เช่น เราเอาสมการนี้ ไปเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์กับครอบครัวที่ดีมากขึ้น เปลี่ยนเป็นสุขภาพที่ดีมากขึ้น เปลี่ยนเป็นอาหารที่ดีมากขึ้น เปลี่ยนเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัวที่ดีมากขึ้น เช่น การจัดบ้าน จัดสวน ปรับปรุงห้องนอน บ้าน ฯลฯ แม้กระทั่งเปลี่ยนเป็นสังคมที่ดีมากขึ้นก็ยังได้ถ้าเราต้องการ และไม่จำเป็นต้องเป็นด้านบวกอย่างเดียว ถ้าเราใช้ผิดทางก็ส่งผลเสียได้ด้วย เช่น เปลี่ยนให้สุขภาพเราแย่ลง เปลี่ยนให้ความสัมพันธ์เราแย่ลง ฯลฯ
ขอฝากเป็นข้อคิดนึงสำหรับท่านที่อ่านอยู่ เพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองต่อไปว่าเราต้องการผลลัพท์อะไร และเราจะเอาเวลาไปแลกกับอะไร เพราะบางครั้งการที่เราใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว แม้ว่าจะไม่สร้างเงิน แต่สิ่งนั้นก็ได้สร้างผลลัพท์ที่ดีขึ้นให้กับตัวเราเองนั่นอาจจะมีค่ามากกว่าเงินเสียอีก ซึ่งคำตอบเหล่านี้เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเลย
เผาต้นทุนชีวิตทิ้ง
แม้ว่าผมบอกทุกคนไม่ได้ชัดๆว่า อะไรคือสิ่งที่เราควรจะใช้สมการไปแลกออกมาได้คุ้มค่าที่สุดในมุมของแต่ละคน แต่ผมก็พอที่จะชี้ได้ว่ากิจกรรมที่เป็นการเผาต้นทุนชีวิตของเราทิ้งไปได้อย่างง่าย ๆ นั่นก็คือการ “ไถฟีด social network โดยไร้จุดหมายที่ชัดเจน” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทำกันโดยส่วนใหญ่และทำไปโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
อันนี้ผมได้ฟังสรุปงานวิจัยตัวนึงมาว่ามนุษย์เราจะหลีกหนี สภาวะความน่าเบื่ออยู่ตลอดเวลา (boredom) โดยในการทดลองนั้นให้คนเข้ามานั่งในห้องที่ไม่มีอะไรเลยเป็นระยะเวลานึงโดยเค้ามีสิ่งเดียวคือปุ่มให้กดตรงหน้าเค้า แต่เมื่อเค้ากดเค้าจะโดนไฟช้อตซึ่งผู้เข้าร่วมทดลองต่างก็รู้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเข้าสู่การทดสอบจริงปรากฏว่า ผู้ทดลองส่วนใหญ่ต่างเลือกที่จะกดปุ่มช้อตตัวเอง แทนที่จะนั่งนิ่ง ๆ เฉย ๆ ในช่วงแห่งความน่าเบื่อในช่วงเวลานั้น นั่นทำให้เห็นว่า คนเรามีความพยายามหลีกหนีความน่าเบื่ออย่างที่สุด แม้ว่าการหลีกหนีจะทำให้เจ็บปวดก็ตาม แต่กับการไถ social network ก็ไม่ต่างกัน เราต่างรู้ว่าทำลายสมอง และทำให้เสียเวลาชีวิต แต่เราก็ทำมัน เพราะต้องการหลีกเลี่ยงต่อความน่าเบื่อนั่นเอง แม้กระทั่งการยืนรอไฟเขียวข้ามถนนเราก็ควักมือถือขึ้นมาฆ่าเวลาแล้ว บางทีไถเพลินจนลืมข้าม หรือไถไปข้ามไปจนลืมดูรถบนถนนเลยด้วยซ้ำ
สติเป็นตัวบอก
สติ จะเป็นสิ่งที่คอยเตือนตัวเราถึงกิจกรรมที่เรากำลังทำอยู่นั้นเป็นการเผาต้นทุนชีวิตเราทิ้งอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ เราก็หยุดแล้วหันไปทำอย่างอื่นแทน สิ่งที่เลือกทำ ไม่จำเป็นต้องได้เงินอย่างที่บอกไปก่อนแล้ว แต่ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ถ้าจะว่าไปแค่เปลี่ยนจากการไถ social network เป็นการพักผ่อนหรือ nap หรือแค่หลับตานั่งนิ่ง ๆ แค่นี้ก็ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้แล้วจริง ๆ นะ เพราะเมื่อร่างกายจิตใจเราได้พักเราจะมีพลังงานมากขึ้น แล้วก็เปลี่ยนพลังงานที่มากขึ้นไปรวมเข้าสมการกับกิจกรรมใหม่เพื่อสร้างอย่างอื่นที่ดีกว่าเดิมต่อไปนั่นเองตามที่เล่าเรื่องสมการไปข้างบน
เราจึงควรมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดว่า เรากำลังทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร ผลลัพท์คืออะไร เราต้องการอะไร บนสมการที่เราคุยกันข้างต้นนั่นเอง
คนรวยซื้อเวลา
บางคน อาจจะมีข้อโต้แย้งเรื่องความเท่าเทียม
“คนรวยซื้อเวลาได้ โดยการจ้างคนอื่นไปทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ หรือ ไม่อยากทำ หรือ ทำเองไม่ได้ เช่น จ้างลูกน้องทำงาน จ้างแม่บ้านมาทำงานบ้าน ฯลฯ”
แต่ผมอยากชวนคิดแบบนี้ครับ การซื้อเวลาคนอื่นก็ยังไม่ใช่การซื้อเวลาให้ตัวเองได้ตรง ๆ แม้ว่าจ่ายเงินจ้างแรงงานไปแล้ว แต่นายจ้างก็ยังมีนาฬิกาเรือนเดิมที่เดิน 24 ชั่วโมงต่อวันเช่นกันยังไม่มีใครหนีกฎนี้ไปได้ แต่เราคิดไปเองว่าเค้าใช้เวลาที่จ้างคนอื่นไปหาความสุขใส่ตัวเองเพิ่มเติมในขณะที่ลูกน้องต้องทำงานหนัก ทั้งที่จริงแล้วชีวิตของนายจ้างก็มีช่วงเวลาและการกระทำบางอย่างที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เช่น ภาวะความเครียด ที่เครียดมากกว่าลูกน้องแน่นอน เพราะต้องบริหารทั้ง เงิน เวลา ค่าใช้จ่ายที่แปรผัน ค่าใช้จ่ายที่คงที่ หรือความจริงที่เค้าจ้างคนอื่นมาทำงานบ้านโดยที่ตัวเองใช้เวลานั้นเครียดคิดเรื่องงาน เพื่อให้งานไปสร้างเงินอีกทีนึง แล้วเงินที่ได้นั้นก็เอากลับมาจ้างลูกน้องอีกทีนั่นแหล่ะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ลูกน้องกลับไม่ต้องคิดอะไร และไม่จำเป็นต้องทำงานเต็มที่แค่รอเวลาครบเดือนก็จะได้รับเงินเดือนเช่นเดิมนี่คือมุมกลับที่ลูกน้อง หรือคนนอก เลือกจะมองข้ามไป มองแต่มุมที่เห็นว่านายจ้างได้อะไรที่เหนือกว่า และที่สำคัญที่สุดเลย เพราะทุกคนไม่สามารถแหกกฎฟิสิกส์ในการสร้างเวลาขึ้นมาได้ ดังนั้น การที่นายจ้างจะมีเงินเพิ่มเยอะกว่าคนอื่นได้ก็น่าจะหมายความว่าต้องใช้ พลังงาน และความรู้ที่มากกว่าลูกจ้างมาก่อนแล้วนั่นเอง
อีกประเด็นก็คือการที่นายจ้างจะมีเงินเหลือเพื่อเอามาซื้อเวลาคนอื่นได้ แล้วเงินนั้นมาจากไหนกันล่ะ ? ถ้าไม่ได้มาจากเวลาในอดีตที่นายจ้างยอมแลก เวลา ความรู้ พลังงานชีวิตตัวเอง เพื่อไปสร้างเงินขึ้นมาก่อนหน้านั้น จนมีเงินเหลือมากพอเพื่อจะมาจ้างคนอื่น ๆ เพราะทุกคนก็เล่นอยู่บนเกมเดียวกัน (ตอนที่ยังไม่มีเงินเยอะหรือยังไม่รวย ก็ลงพลังงาน และ ความรู้เยอะ ๆ เพื่อสร้างเงิน และ เก็บออมมาก่อน บนเวลาที่มีเท่ากับคนอื่นโดยทั่วไป)
บางคนอาจจะมีข้อถกเถียงมากกว่านี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอีกเช่นกัน เพราะทุกคนมีความคิด มีแนวคิดเป็นของตัวเอง แต่ส่วนตัวผมก็มองว่า เราจะสามารถเปลี่ยนพลังงาน เวลา ความรู้ที่ใช้ถกเถียงเพื่อพัฒนาชีวิตตัวเราเองได้อย่างไรจะดีกว่าการเถียงมุมไหนเพื่อจะชนะในเรื่องนี้แล้วชีวิตก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม เพราะเป้าหมายนึงของชีวิตก็คือเราควรเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน นั่นเป็นเป้าหมายที่ทุกคนควรจะมี โดยไม่ว่าจะแนวคิดนี้ หรือ แนวคิดอื่นที่ดีกว่านี้ ล้วนดีทั้งนั้นครับ ถ้าทำให้เราเอามาใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าเอาแต่ตั้งข้อสงสัย ถกเถียง เพื่อที่จะไม่ต้องทำอะไรที่ไม่มั่นใจเลย ผลลัพท์สุดท้ายก็น่าจะไม่ได้ไปไหนไกลจากเดิมแน่นอน เพราะใช้เวลาโดยไม่ใช้พลังงานนั่นเอง ตัวคูณต่ำครับ
ผมยังพูดคำเดิมเสมอ ชีวิตของเรา เราเลือกได้ครับ
ส่งท้าย
[เวลา x ความรู้ x พลังงาน] ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ชีวิตเราได้ สามารถสร้างผลลัพท์เป็นอะไรก็ได้ ตามที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินอย่างเดียว
ทุกคนมีความต้องการเป็นของตัวเอง แต่เราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเราเองเสมอ เมื่อเลือกแล้ว ก็แปลงเชื้อเพลิงมาเป็นต้นทุนเพื่อทำให้เกิดขึ้นจริง
อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ ก็มีต้นทุนชีวิตที่ไม่ต่างจากเรา มีคนที่จนมากในตอนเริ่มต้น แล้วพลิกมารวยได้มากมาย หรือ มีคนที่เคยมีแต่ความทุกข์ตอนเด็กโตขึ้นมาสร้างครอบครัวที่มีความสุขได้ทุกอย่างเป็นไปได้ ผมเชื่อในความสามารถของมนุษย์ทุกคน เพราะเรามีพลังมากที่จะเปลี่ยนหรือสร้างอะไรได้ก็ตาม ถ้าเราต้องสิ่งนั้นจริงๆ และต้องการอย่างมากพอ
ในทางตรงกันข้าม จากคนที่เคยรวย มีเงินเยอะ ผู้คนนับถือ ถ้าเราใช้เวลา กับความรู้ในทางที่ผิด หรือ พลังงานในทางที่ผิด ก็อาจจะติดคุก มีคดี ล่มจมได้ด้วยเช่นกัน เพราะผลลัพท์ก็เกิดจากผลคูณกันในเวลาและการกระทำที่ได้ผ่านไป
สติ จะเป็นสิ่งที่คอยเตือนเราอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เรารู้สึกตัวว่าตอนนี้เรากำลังใช้เวลาไปกับอะไร และเราพิจารณาทบทวนเล็กน้อย ว่านั่นจะสร้างสิ่งที่เราต้องการหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ก็แค่หยุด ที่แน่ ๆ การไถ social network ไปแบบไร้จุดหมาย คือการเผาต้นทุนอันมีค่าของชีวิตเราทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ถ้าเลิกได้ ก็เลิกครับ แล้วเมื่อเราเลิกแล้ว เราจะมีเวลาเพื่อคิดต่อว่า แล้วจะต้องทำอะไรต่อไปดี เพราะเราไม่มีเวลาที่นั่งเบื่อ ๆ แน่นอน นั่นคือสิ่งที่มนุษย์เราพยายามจะหลีกหนีตลอดอยู่แล้ว ถ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็พักผ่อนครับ ให้ร่างกายและจิตใจได้พัก เท่านี้ ก็มีประโยชน์มากแล้ว