Update เนื้อหา ปี 2025 เพื่อให้เนื้อหา ถูกต้อง ตรงตามที่สรรพากรได้ให้เป็นตัวอย่างเอาไว้ พร้อมทั้งให้ทันกับเรื่องการมีรายได้ต่างประเทศและนำเข้าประเทศด้วย
สรุปสั้นๆ สำหรับเรื่องภาษี (บุคคลธรรมดา)
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา : ในการยื่นภาษีนั้น จะมีหน้าจอ ที่เราต้องเพิ่มรายการเงินได้ ด้วยตัวของเราเอง ในหมวด เงินได้ประเภท 40(4) ได้แก่ ดอกเบี้ย เงินปันผล และคริปโทเคอร์เรนซี เงินได้ ในส่วนนี้ หมายถึง รายได้ หัก ต้นทุน/ขาดทุนแล้ว (ก็คือ กำไรสุทธิ)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT : มีประกาศยกเว้น ไม่ต้องจด แม้ว่าจะมีรายได้เกิน 1.8 ล้าน ที่เกิดจาก Crypto currency ก็ตาม โดยไม่มีกำหนด
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% ที่คิดจาก Capital Gain : ไม่สามารถทำได้จริง จึงประกาศยกเว้นตั้งแต่เริ่มใช้งานจนปัจจุบัน โดยให้บุคคลธรรมดา ไปยื่นเป็นรายได้ตอนที่ยื่นแบบแสดงรายได้ ที่บรรทัดแรกด้านบนแทน
- การหักต้นทุน ยึดตามหลักการทางบัญชี
- เราไม่จำเป็นต้องแจง ต้นทุน และ กำไร ในกระบวนการยื่นภาษี แต่ถ้ามีการเรียกตรวจสอบการคำนวณ เราต้องอธิบายได้ทั้งหมด ว่าที่มาที่ไป ของกำไรที่เราได้แจกแจงเอาไว้นั้นมาจากไหนอย่างไร
- แนวทางที่ใช้คิดยอดเพื่อยื่นภาษี ค่อนข้างเรียบง่าย ก็คือ ให้นำรายรับ หักด้วยต้นทุน ไม่ว่ากิจกรรมนั้น จะซับซ้อนแบบใดก็ตาม (กิจกรรมแต่ละแบบ, Token แต่ละตัว ต้องนำมาคิดแยกกัน
ฉบับเต็ม พร้อมที่มาที่ไป อ่านต่อได้เลย
พระราชกําหนด แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่๑๙) พ.ศ. ๒๕๖๑
นี่คือพระราชกำหนดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของภาษีโดยตรง ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑
เนื้อหาที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการกำหนดประเภทของเงินได้ขึ้นมาเพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม ดังนี้
มาตรา ๓
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (ซ) และ (ฌ) ของ (๔) ในมาตรา๔๐แห่งประมวลรัษฎากร
(ซ) เงินส่วนแบ่งของกําไรหรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัล
(ฌ) ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลทั้งนี้เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน”
มาตรา ๔
ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น
(ฉ) ของ (๒) ในมาตรา๕๐แห่งประมวลรัษฎากร“
(ฉ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา๔๐ (๔) (ซ) และ (ฌ) ให้คํานวณหักในอัตราร้อยละ๑๕.๐ของเงินได้”
ทีนี้เราจะเห็นว่า มีการอ้างถึง มาตรา 40 และ มาตรา 50 ซึ่งจะอธิบายได้ดังนี้
มาตรา๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร คืออะไร?
มาตรานี้ได้กล่าวถึงประเภทของเงินได้ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่หลายประเภทตามที่เรายื่นแบบนั่นแหล่ะ ขอย่อสั้นๆ เพื่อความเข้าใจ แต่ถ้าตัวเต็มให้อ่านที่นี่ https://www.rd.go.th/5937.html#mata40 และยกบางตัวมาตรงนี้ เพื่อให้นึกภาพออก
(1) เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เงินค่าเช่าบ้าน << เงินเดือน เราเอามาหยอดช่องนี้
(2) เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด เงินอุดหนุนในงานที่ทำ เบี้ยประชุม บำเหน็จ โบนัส เงินค่าเช่าบ้าน << รับจ้างไม่ประจำ
(3) ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม
(4) เงินได้ที่เป็น << อันนี้ แหล่ะ ไฮไลท์เลย พระราชกำหนดด้านบน เพิ่มหมวดเงินได้ในส่วนนี้
(4)(ก) ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยตั๋วเงิน ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม << ดอกเบี้ยทั้งหลาย แต่ยังไม่เกี่ยวกับเรา (พวกดอกเบี้ยเงินฝาก)
(4)(ข) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงิน << เงินปันผลจากหุ้นบริษัททั้งหลาย ก็ยังไม่เกี่ยวกับเรา อันนี้คือหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ยกมาให้เข้าใจ ว่ามีเงินได้ประเภทต่างๆอยู่หลายแบบ
(4) (ค) (ง) (จ) (ฉ) (ช) ผมขอข้ามเลยนะ ลองหาอ่านกันเอาเอง กระชับเนื้อหา
(4) (ซ) เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือ ครอบครองโทเคนดิจิทัล
(4) (ฌ) ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล ทั้งนี้ เฉพาะซึ่งตีราคา เป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
ในมาตรา๕๐ แห่งประมวลรัษฎากร คืออะไร?
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆในมาตรานี้ระบุถึงหน้าที่ของบริษัทหรือผู้จ่ายเงินได้ซึ่งมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เอาไว้ พูดให้เข้าใจก็คือ เว็บ exchange ต่างๆที่เราไปซื้อขายนั่นแหล่ะครับ คือผู้ที่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายนั่นเอง
โดยในพระราชกำหนดด้านบนได้กำหนดให้ เว็บ exchange ต่างๆ จะต้อง หัก ณ ที่จ่าย 15% ของเงินได้ ตามมาตรา 40 (4) (ซ) และ (ฌ) ครับ
นั่นคือพระราชกำหนด ที่กำหนดให้ต้องทำ แต่ว่าในความเป็นจริงกลับไม่สามารถทำได้เนื่องมาจาก เว็บ exchange ต่างๆ ไม่สามารถ declare ต้นทุนได้จริง ทำให้ไม่รู้ว่ายอดที่ถูกต้องของ (ซ) และ (ฌ) เป็นเท่าไรกันแน่ เนื่องจาก web exchange ไม่ได้ควบคุมเบ็ดเสร็จในที่เดียว
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดเลย เอาเงิน 3000 บาท ซื้อ USDT ด้วยเรท 30 THB/USDT นั่นเราจะได้ 100 USDT จากนั้น โอนออกไปฟาร์มที่ pancake ได้กำไรมาทั้งสิ้น 20 USDT รวมขายคืน 120 USDT ด้วยเรท 30 THB/USDT แต่คำถามคือ เว็บ exchange จะรู้ได้อย่างไรว่า 20 USDT ที่เพิ่มมา คือเงินกำไร ไม่ใช่เงินของคนอื่นที่โอนมาให้ผม? ถ้าความจริงเป็นพี่ชายโอนมาให้ผม แล้วเว็บ exchange ก็หัก 15% จาก 20 USDT ที่เกินมา แบบนี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะ 20 USDT ไม่ใช่เงินได้ ตามมาตรา 40 (4) (ซ) และ (ฌ) แต่อย่างใด
นี่จึงเป็นเรื่องยากมากในการปฏิบัติงานจริง ที่จะทำให้รู้ได้อย่างไรว่า Token หรือ Cryptocurrency ส่วนไหนนั้น นับเป็นเงินได้ประเภทอะไร
คนเดียวเท่านั้นที่รู้ก็คือตัวเราคนเดียวเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการ declare กำไร จึงเป็นแบบ self declare
สุดท้ายแล้ว เว็บ Exchange จึงออกประกาศว่าไม่สามารถหัก ณ ที่จ่ายได้ เนื่องจากไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ ตัวอย่างประกาศ https://support.bitkub.com/hc/th/articles/360037848551-%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5-%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94-%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2-%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5
การยื่นภาษี เป็นสิ่งที่ต้องทำ
ปีไหน ที่เรามีรายได้จากทุกทางรวมกันเกิน 60,000 บาทต่อปี เราต้องยื่นแบบแสดงรายได้บุคคลธรรมดา และ ส่วนของรายได้ที่เกิดจาก Crypto currency นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของรายได้จากส่วนต่างๆ โดยเราต้องยื่นเอง เพราะ
การไม่ยื่นภาษี หรือว่า จงใจหลบเลี่ยง มีความผิดตามกฎหมาย ดังนั้น ผมแนะนำให้ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และ ทำให้ถูกตั้งแต่แรก จะดีที่สุด แต่ว่า เทคนิคการยื่นภาษี ผมจะเล่าให้ฟังในช่วงท้ายอีกที
ภาระทางภาษีจึงตกมาที่เราเต็มๆตอนยื่นแบบเงินได้
กำไรทั้งหมดที่ได้ จะต้องยื่นเป็นรายได้ ตอนยื่นภาษีด้วย เพราะถือเป็นรายได้ของเรา อย่างที่อธิบายข้างบน
กิจกรรมแบบไหน จัดว่าเป็นเงินได้แบบใด
ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามีเงินได้ ตามมาตรา 40 (4) (ซ) และ (ฌ) ที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency DeFi ทรัพย์สินดิจิทัล Digital Asset แต่ว่าเราจะแยกกิจกรรมแบบไหนเข้าเป็นเงินได้ประเภทไหนล่ะ สรุปได้ดังนี้
กิจกรรม | วิธีคำนวณต้นทุน และรูปแบบเงินได้ |
ซื้อ และ ขาย (เก็งกำไร) *อิงตามตัวอย่าง | มาตรา 40(4)(ฌ) ให้ใช้วิธีที่มาตรฐานการบัญชีรับรอง เช่น วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) หรือวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving average cost) และให้คำนวณ, ต้นทุนแยกตามประเภทของเหรียญ เลือกวิธีการคานวณต้นทุนวิธีใดแล้วต้องใช้วิธีนั้นตลอดปีภาษี, ต้นทุนคิดรวมทั้งหมด เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อ ค่าธรรมเนียมการขาย และค่าโอน, เฉพาะธุรกรรมที่ กระทำผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสานักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น |
ขุดเหรียญ (mining) *อิงตามตัวอย่าง | มาตรา40(8) หักต้นทุนการขุดทั้งหมดได้ตามจริง แต่ผู้ขุดต้องเก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องและจัดทำบัญชีต้นทุน เช่น เครื่องขุด(ถือว่าเป็นอุปกรณ์ computer) ก็ต้องหักค่าเสื่อมตามระบบบัญชี ใช้หลักการ FIFO หรือ Moving average cost ได้เหมือนการซื้อ ขาย เก็งกำไร |
Airdrop แบบทำกิจกรรมแล้วได้รับมา โดยไม่ต้องลงทุนเงิน *อิงตามตัวอย่าง | มาตรา 40 (8) หักแบบเหมาจ่ายน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะการ declare ต้นทุนที่เป็นเวลา แรงงานที่เราทำ คิดเป็นต้นทุนได้ยาก และต้องใช้เอกสาร และการอธิบายค่อนข้างเยอะ |
Airdrop แบบต้องซื้อ Token , staking , Yield farming, binance earn, funding fee(futures), lending, LP, validator node (POS) | มาตรา 40 (4) (ซ) ในทางปฏิบัติจริง ไม่สามารถหักต้นทุนได้เลย โดยเฉพาะสำหรับคนที่ stake แล้วไม่เสียเงินต้น เช่น ใช้ stable coin ในการ farm หรือว่า เราไม่ได้ขาย token นั้นออกในราคาขาดทุน (ถ้าขาย token ที่ใช้ฟาร์ม ในราคาขาดทุน เอาการขาดทุนมาเป็นทุนเพื่อหักกำไรได้) ตรงนี้สรรพากรเอง ก็ไม่ชัดเจน ว่าต้นทุนส่วนนี้เป็นอะไรได้บ้าง แต่ส่วน gas fee หรือว่า exchange fee ตรงนี้ เอามาใช้เป็นต้นทุนได้แน่นอน (แต่ก็น้อยมากด้วยเช่นกัน) ส่วนตัวผมมองว่า เปลี่ยนให้เป็น 40 (8) จะสามารถ declare ได้ง่ายกว่า ส่วนตัว Token ที่ซื้อเป็นทุน ก็ยื่นตาม มาตรา 40(4)(ฌ) ดูจะเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าขายขาดทุน ยื่นเป็น มาตรา 40 (4) (ซ) รวดเดียว ก็น่าจะเหมาะกว่า แล้วแต่สถานการณ์ |
bot trade, arbitrage | มาตรา 40(4)(ฌ) เหมือนการ trade แบบปกติได้เลย |
แล้วเรื่อง VAT เมื่อมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ในปีภาษีล่ะ?
ปี 2024 กระทรวงการคลัง ประกาศยกเว้น VAT ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป “แบบไม่กำหนดเวลาสิ้นสุด” ดังนั้น ไม่ว่าจะ trade ปีละเท่าไร กำไรมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่ต้องไปจด VAT ครับ
เรื่องนี้สอดคล้องกับที่ผมเคยโทรไปปรึกษาสรรพากรตั้งแต่ 2022 แล้วครับ อีกทั้งตัวกฎหมายเอง ก็มีส่วนที่อธิบายเอาไว้แล้วด้วยประมาณนี้ครับ
มาตรา 77/1
“(9) “สินค้า” หมายความว่า ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อขาย เพื่อใช้ หรือเพื่อการใด ๆ และให้หมายความรวมถึงสิ่งของทุกชนิดที่นำเข้า แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างที่ส่งมอบโดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นใด”
ซึ่งได้มีประกาศใน พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๓)พ.ศ. ๒๕๖๔
ความน่าสนใจก็คือ “แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างที่ส่งมอบโดยผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นใด”
ซึ่งหมายความว่า ทรัพย์สินดิจิทัล ไม่เข้าข่ายเป็นสินค้า ที่เราซื้อมาขายไป แล้วต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง (สำหรับบุคคลธรรมดา)
ผมพยายามอ่านรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่หลายรอบ หลายทาง แต่ก็พบว่า น่าจะตีความได้แบบนี้จริงๆ
แต่ VAT เป็นคนละเรื่องกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานะครับ
คำถามจาก Community
ทั้งนี้ ผมถามใน Telegram group ที่เราใช้พูดคุยกัน ว่ามีประเด็นไหนที่สงสัยมั้ย จะได้ตอบและตีความได้ ก็มีดังนี้
? เงินได้ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากกิจการในประเทศไทย ดังนั้น ไม่ต้องเสียภาษีของประเทศไทย
ขอแบ่งเงื่อนไขเป็น
- เงินได้นั้น เกิดก่อนปี 2567 (2024) และ ปีที่เกิดเงินได้ อยู่ในไทยเกินกว่า 180 วัน กรณีนี้ คนจะเอาเงินเข้าปี 2568 จะไม่ต้องจ่ายภาษี เพราะหลักการคิดเดิม ระบุว่า “รายได้จากต่างประเทศ + อยู่ไทยเกิน 180 วัน + นำเงินได้เข้ามาในไทย ในปีภาษีเดียวกัน”
- เงินได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป จะมีเงื่อนไข ดังนี้ “ปีที่มีเงินได้นั้น อยู่ไทย เกินกว่า 180 วัน + เอาเงินได้เข้าไทย ปีไหนก็ตาม” ต้องยื่นภาษีเงินได้นั้นในปีที่นำกลับเข้าไทย เช่น มีเงินได้ ปี 2567 แต่เอาเข้าไทยปี 2568 ก็ยื่นแบบ 2568 หรือว่า เอาเข้าปี 2569 ก็ยื่นแบบ 2569 คือยื่น ณ ปีที่เอาเงินนั้นเข้า แม้ว่าเงินรายได้จะเกิดขึ้นจากอดีตก็ตาม
หากว่าเราเอาเงินเข้าประเทศไทยในปีภาษีนั้น แต่ปีนั้นอยู่ไทย ไม่เกิน 180 วัน และหรือ เราไม่เอาเงินรายได้เข้าไทยเลย ก็จะเข้าข่ายยกเว้นในข้อประเด็นนี้ แต่ว่า ต้องไปพิจารณา อนุสัญญา ภาษีซ้อน อีกที ว่าอีก 180 กว่าวัน เราใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไหน และเราก็ต้องจ่ายภาษีที่ประเทศนั้นแทนประเทศไทย (จึงเอามา credit ภาษีของไทย) ดังนั้น ต้องดูข้อนี้ด้วย ระวังไม่จ่ายภาษีทั้งสองประเทศแล้วจะโดนเรียกเก็บทั้งสองประเทศในกรณีหลบหนีภาษีแทนนะครับ
? เราไป cash out ที่ประเทศอื่น ตามกฏหมายไทยเราต้องเสียภาษีไหม
เสียครับ ถ้าเอาเข้าไทย ตามมาตรา 41 เต็มๆเลย ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำในประเทศไทย หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ
แต่ถ้าเราไม่นำเข้ามาในประเทศไทยเลย ก็จะไม่เสียภาษีของไทยครับ ตามที่อธิบายในคำถามข้อบน
? กำไร crypto ต้องจ่ายตั้งแต่บาทแรกเลยมั้ย
ไม่ใช่เสมอไป เรากำไร crypto ก็ถือเป็นรายได้อันนึง ถ้ารายได้รวมๆทุกทางของเราทั้งหมด ไม่ถึงขั้นเสียภาษี เราก็ไม่ต้องเสียภาษี ไม่ใช่ว่ากำไรทุกบาทจาก crypto ต้องจ่ายภาษีหมด (หลายคนเข้าใจผิด และ ยังเข้าใจผิดจนถึงปัจจุบัน จนพยายามหลบเลี่ยงกัน) ให้มองว่า กำไรจาก crypto ก็เป็นรายได้แบบหนึ่งเหมือนเราทำงานรับจ้างนั่นได้เลย เราก็ยื่นแบบแสดงรายได้ตามปกติ แค่นั้น ระบบก็คำนวณตามปกติ ไม่ถึงเกณฑ์เสีย ก็ไม่เสีย
? เอาเงินแม่มาบริหารด้วย ของตัวเองด้วย แต่ถอดออกมาบัญชีเดียวกัน เอามาแยกจ่ายภาษีเป็น 2 คนตามจริงได้ไหม
ไม่ได้ เพราะ exchange ไม่รู้จักคุณแม่ของคุณครับ ชื่อคุณคือคนซื้อ ขายทำกำไร ถ้าคุณยื่นครึ่งเดียว แล้วปรากฏตรวจสอบว่าไม่ตรงกับรายการของ exchange คุณน่าจะต้องถูกเรียกพบเพื่อชี้แจง ซึ่งจริงๆ ผมคิดว่ามันเป็นธุรกรรม สองชั้นครับ แม่ <> คุณ <> exchange ดังนั้น คุณก็ต้องแจกแจง เงินต้นทุน ที่มาจากส่วนแม่ของคุณ ซึ่งนั่นจะถือเป็นอีกหนึ่งรายได้ ที่แยกออกไปของตัวคุณเอง เพราะแม่ของคุณ ทำธุรกิจร่วมกับคุณ แต่แม่ของคุณไม่ได้ซื้อขาย Token เองโดยตรง
ดังนั้น แม่ของคุณยื่นเป็น มาตรา 40 (ฌ) ไม่ได้ แต่คุณต้องยื่นเต็มตามมาตรา 40 (ฌ) แล้วเรื่องระหว่างคุณกับแม่ก็เป็นเงินได้แบบอื่น ผมไม่ลงรายละเอียด ณ ตรงนี้นะครับ
? ถ้าปีแรกกำไร 10 ล้าน ปีที่สองยังไม่ถอนเงินออก ลงทุนเพิ่ม ขาดทุน 5 ล้าน ปีที่สามถอนออกมาหมดเลย จ่ายแค่กำไร 5 ล้าน หักจากขาดทุน 5 ล้านได้ไหม
ผมคิดว่า เอาบัญชีมาชี้แจงครับ ว่ากำไรได้ยังไง ขาดทุนได้ยังไงกำไรเกิดในปีไหน มาจากต้นทุนก้อนไหน เท่าไร ยังไง และต้องสอดคล้องกับ Exchange และหลักฐานต่าง ถ้าไม่ได้จดบัญชี หรือไม่สอดคล้องกับ exchange หรือหลักฐานต่างๆ ก็ต้องว่ากันตามดุลพินิจของเจ้าพนักงานครับ เพราะไม่มีหลักฐานอ้างอิง
? ถ้าเราเอายอดเงินบาททั้งหมดที่ cash in เข้า crypto exchange ของไทย หักลบกับ ยอดที่ cash out ออกมา ถ้ารวมแล้ว ตั้งแต่ 1,800,001 บาท ถึงต้องเสียภาษีใช่ไหมครับ
ยอด cash in และ ยอด cash out ที่เข้าออกจาก exchange ไม่ได้เกี่ยวโดยตรงกับภาษีเงินได้
แม้ว่าเราเอาเข้า และ เอาออก 20 ล้านบาท แต่ถ้าเรา trade 0 บาท ก็คือรายได้จากหมวดนี้ 0 บาท
แต่ถ้า 1.8 ล้านบาท คือกำไร แปลว่า เรามีรายได้ จากหมวดนี้ 1.8 ล้านบาท ต้องยื่นภาษีครับ และค่อนข้างชัด ว่าหักลดหย่อนยังไง ก็ยังต้องเสียภาษีแน่ๆ เพราะ 1.8 ล้านบาท ค่อนข้างสูงเลย
แต่ถ้าถามว่า ต้องไปจด VAT มั้ย เพราะเกิน 1.8 ล้าน คำตอบคือ ไม่ต้อง
? ตอนนี้ภาษี crypto 15% หรือเปล่าครับ
ไม่ใช่
หลักการคือ เอากำไรมานับเป็นเงินได้พึงประเมินก่อนหักลดหย่อนต่างๆ แล้วเอาเข้าคิดตามฐานภาษีแบบขั้นบันได คือมองกำไรเป็นเหมือนรายรับจากการทำงานตามปกติก้อนนึง ไม่ได้มีภาษีเฉพาะ เป็นกรณีพิเศษอะไร
และล่าสุด 2567 ก็คือ ภาษีส่วน 15% นี้ (มันคือภาษี หัก ณ ที่จ่าย) ถูกยกเว้นนะครับ ไม่ว่าจะ trade กับ exchange, broker, dealer ที่ได้รับการรับรองจาก กลต ไทย ได้รับยกเว้นเหมือนกัน ดังนั้น ก็มองข้ามเรื่อง 15% หัก ณ ที่จ่ายไปได้เลย
? เราจะนับเป็นเงินได้ตอนไหนครับ ตอนขายเป็น บาท ใน exchange หรือตอนโอนบาทจาก exchange เข้าธนาคาร
ให้คิด ตอนที่เกิดกิจกรรม “รับ/ส่งมอบ” Token ดังนั้น จะมีกิจกรรมดังนี้
- จังหวะซื้อและขายบนกระดาน เช่น การ trade
- จังหวะที่ใช้ token แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการโดยตรง เช่น ใช้ซื้อหมูปิ้ง, ซื้อขนมปัง ฯลฯ
- จังหวะที่ใช้ token แลกเปลี่ยนเป็นเงิน หรือ สินทรัพย์อื่น เช่น โอน USDT ให้เพื่อน และขอรับเงินเป็นบาท, เอา Bitcoin แลกเป็นนาฬิกา
ดังนั้น ถ้าพิจารณาแค่ การเอาเงินเข้า/ออกแบบเงินบาทกับ exchange อย่างเดียวไม่ได้ ส่วนนี้ไม่ได้มีผลอะไรเลย เอาเข้าออก ปีละ 20 ล้าน แต่ว่า trade 0 transaction แบบนี้ไม่มีทางเกิดรายได้แน่นอน ไม่มีทางที่จะได้จ่ายภาษี หรือ ยื่นยอดเลย
? การนำทรัพย์สินดิจิตอลแลกกับทรัพย์สินอื่นโดยตรง จะนับเป็นเงินได้ยังไงหรือครับ
เมื่อมีการส่งมอบ Token (โอน) และได้ตีมูลค่า ณ เวลา นั้น เท่าไร นั่นคือการตีเป็นมูลค่าการขาย Token นั่นเอง
? ใช้เรทไหนคิด เวลาแลกเปลี่ยนนอกกระดาน trade
ต้องใช้เรทที่อ้างอิงได้ น่าเชื่อถือเท่านั้น ผมคิดว่า เอา rate ของ 3 กระดาน trade ไทย มาอ้างอิง เฉลี่ย จะปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่เอา ราคาสินค้าบริการมาแลกเปลี่ยนนะครับ อันนี้ผิดแน่นอน
ตัวอย่าง เอา 1 Bitcoin ซื้อ คอนโด หรือ นาฬิกา หรือ รถยนต์ (ที่ตีมูลค่า 1 ล้านบาททางบัญชี) แบบนี้ คนจ่าย ต้องอ้างอิงราคา Bitcoin ของ exchange ไทยเท่านั้น สมมุติ วันเวลาที่แลกเปลี่ยน ราคา Bitcoin บนกระดานคือ 2.2 ล้านบาท ต่อ 1 Bitcoin ดังนั้น จะได้ว่า เราได้แลก 1 Bitcoin กับ คอนโด หรือ นาฬิกา หรือ รถยนต์ ที่ตีมูลค่า 2.2 ล้านบาท ไม่ใช่ 1 ล้านบาท และ คนที่ขาย คอนโด หรือ นาฬิกา หรือ รถยนต์ ก็จะถือว่าได้ Bitcoin มาในมูลค่า 2.2 ล้านบาท ไม่ใช่ 1 ล้านบาท ตรงนี้หลายคนจะเข้าใจผิด ต้องระวัง
? ถ้าเราเอา Token ไป cash out ที่กระดาน trade ต่างประเทศ หรือคนต่างชาติที่อยู่ประเทศอื่น ไม่ต้องจ่ายภาษีใช่หรือไม่?
ต้องดูว่าเป็นเงินได้จากในหรือต่างประเทศ ถ้าเป็นเงินได้เกิดจากต่างประเทศ ให้ใช้มาตรา 41 เป็นเกณฑ์ ผสมเรื่องถิ่นที่อยู่ 180 วัน และ การนำเงินรายได้นั้นกลับเข้าไทยด้วย ถึงจะตอบได้ว่าเข้าเงื่อนไขต้องยื่นภาษีหรือไม่
เทคนิคการบริหารภาษี Crypto currency
ก่อนอื่นเลย เราต้องไม่หลบเลี่ยงใดๆ เพราะนั่นคือสิ่งที่ผิดกฎหมาย เพียงแต่ว่าเราใช้ความรู้ความเข้าใจของเรา ทำให้ถูกต้อง เหมาะสมมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
เนื้อหาที่ซ่อนด้านล่าง เป็นเทคนิคการบริหารภาษี เพื่อให้เสียภาษีในแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น
เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach** เนื้อหาทั้งหมดนี้ เกิดจากการตีความโดยอ้างอิงจากตัวอย่างที่สรรพากรได้แสดงเอาไว้ และจากที่สอบถามมาจากสรรพากรในเรื่องของ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอ้างอิงตามหลักฐาน พรก หรือตามประมวลรัษฎากร ส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ถ้ามีเรื่องที่ไม่ clear ผมแนะนำให้ปรึกษาสรรพากรโดยตรงจะดีที่สุดครับ และไม่อนุญาตให้อ้างอิงในทุกกรณี และขอไม่รับผิดชอบในกรณีที่เกิดความผิดพลาดจากการตีความ เพราะผู้เสียภาษีทุกคนจะต้องรับผิดชอบในการหาความรู้ และ ตรวจสอบความถูกต้องกับทางสรรพากรโดยตรงเท่านั้น