หนทางสู่เป้าหมาย ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงคุณตั้งใจจริง

ได้มีโอกาสคุยกับหลายคนแบบ face to face ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ ก็ทำให้ได้ตกผลึกในหลายสิ่ง และทำให้ผมมองเห็น Pattern บางอย่าง ที่ค่อนข้างเหมือนกัน แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้ตัวว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย หรือ ความสำเร็จอย่างที่เค้าต้องการ นั่นก็คือ ความมุ่งมั่น ที่ผมจะมาเล่าให้ฟังกันวันนี้

เป้าหมายเลือนลาง

สิ่งนี้คือสิ่งแรกสุดเลย ที่ทุกคนที่ได้คุยด้วยมักจะมีปัญหา คือการไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าความสำเร็จต้องเป็นอย่างไร หรือ กำกวมเกินไป ตัวอย่างที่เป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่แต่ไม่ชัดเจนมักจะมีรูปแบบดังนี้ อยากรวย, อยากสบาย, อยากหลุดพ้นจากสถานการณ์ตรงนี้ (แต่ไม่รู้ว่ายังไงต่อ), อยากพักผ่อน, อยากมีเวลามากกว่านี้ ฯลฯ

สิ่งที่สำคัญที่สุดของประเด็นนี้คือ คุณจำเป็นอย่างที่สุด ที่ต้องอธิบายความสำเร็จออกมาได้อย่างละเอียดมากที่สุดมากเท่าไรยิ่งดี ผมจะยกตัวอย่างดังนี้

อยากรวย

ใช่ครับ เรื่องนี้พื้นฐานเลย เพราะเงินเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น ใครก็ “อยากรวย” สิ่งที่สำคัญก็คือ อะไรคือรวย? เท่าไรคือรวย? แบบไหนที่เรียกว่ารวย? ทำไมต้องรวย? ต้องรวยก่อนเมื่อไร? เพราะอะไรต้องเป็นเวลานั้น? ฯลฯ ตรงนี้แหล่ะ ที่คนส่วนใหญ่ตกม้าตาย เพราะไม่สามารถตอบตัวเองได้อย่างแท้จริง
ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ตอบไม่ได้ครับ ไม่ใช่ตอบไม่ได้เพราะเค้าไม่รู้ แต่ตอบไม่ได้เพราะไม่ได้เคยคิดมันต่างหาก และบางคนถึงแม้จะตอบได้แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเพียงพอเช่นถ้าถามว่าจำนวนเงินที่จะต้องมีเพื่อที่จะให้ตัวเองรวยคือจำนวนกี่ล้านหรือกี่สิบล้านและทำไมจะต้องเป็นเลขนั้นคนส่วนใหญ่มักจะตอบว่าเยอะที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งดีแต่นั่นไม่ใช่คำตอบที่ดีเลยเพราะนั่นคือคำตอบที่กำกวมต่างหาก คิดตามง่ายครับ ถ้าบอกว่า “ยิ่งเยอะเท่าไรยิ่งดี” หมายความได้ว่า ชาตินี้จนลมหายใจสุดท้าย คุณจะไม่มีวันรวยได้เลย แม้ว่ามีเงินเยอะกว่าเจ้าสัวสิบเท่าแล้วก็ตาม นั่นจึงเป็นคำตอบที่แย่ และ อีกแนวนึง ที่แย่ไม่ต่างกันคือ “มีสิบล้าน” ก็รวยแล้ว แต่อธิบายไม่ได้ ทำไมต้องสิบล้าน และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิบล้านจะใช้ได้นานกี่ปี เพราะถ้าใช้เงินเดือนละ แสนบาท ไม่ถึงสิบปี ก็หมดแล้ว อย่างนั้นเรียกว่ารวยจริงหรือ?

ดังนั้นควรตอบคำถามตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาให้ได้ทั้งหมดก่อน และจะดีกว่านั้นมากที่เราต้องตั้งคำถามเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ เยอะๆ และถ้าคำถามเยอะไป แนะนำให้จดทั้งคำถามและคำตอบลงกระดาษ หรือ อะไรที่สามารถเก็บเป็นความทรงจำ เพื่อใช้ทบทวนเป้าหมายเป็นระยะได้ จะเป็นรูปแบบ Digital ก็ได้เช่นกัน

อยากมีเวลามากกว่านี้

นี้เป็นอีกเรื่องที่ทุกคนต้องเคยพูด เพราะคนส่วนใหญ่อยู่ในโลกที่แทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย แต่ผมอยากชวนคิดว่าย้อนกลับไป สมัย ปู่ ย่า ตา ยาย เรายังเป็นวัยรุ่น เค้าไม่มี internet และการเชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วฉับไวอย่างตอนนี้ เค้าไม่มีการเดินทางสาธารณะ ถนน ที่ดีอย่างทุกวันนี้ แต่ทำไมเค้าถึงไม่บ่นว่าไม่มีเวลาเหมือนอย่างในปัจจุบันล่ะ หรือ เค้าบ่นแหล่ะ แต่ทำไมวันนี้ที่มีสิ่งต่างๆที่สะดวกรวดเร็วแบบนี้ แล้วเรายังบ่นอยู่ล่ะ?

เพราะแท้จริงแล้ว ถ้าเราอยากมีเวลา ทำได้ง่ายเพียงแค่เราต้องตัดสินใจเลือกใช้เวลาอย่างจริงจังรวมทั้งรับผิดชอบผลที่เกิดจากการเลือกของเรา เพียงเท่านั้น แต่นั่นก็จะนอกเรื่องไปไกล

ลองคิดใหม่อีกทีกับคำถามนี้ด้วยหลักการเดิมว่า เราอยากมีเวลาเพิ่มขึ้นเท่าไร? มีเวลาเพื่ออะไร? ประโยชน์ของการมีเวลาเพิ่มขึ้นนั้นมากน้อยแค่ไหน? สิ่งที่เราจะเอาเวลาไปแลกนั้นคุ้มค่าเพียงใด? ฯลฯ นี่เป็นเพียงคำถามตัวอย่างอีกเช่นกัน

ความสำเร็จเป็นเรื่องส่วนบุคคล

การที่เราจะมุ่งไปสู่เป้าหมายได้ ผมได้บอกแล้วว่า เราต้องเริ่มตั้งคำถาม และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือการหาคำตอบของคำถามทั้งหมด ที่จะมีแต่เราคนเดียวเป็นคนตอบได้ และคำตอบทั้งหมดนั้น ก็ต้องมาจากตัวเราเองด้วย

มาถึงจุดนี้ บางคนอาจจะบอกว่า เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ที่จะคิดคำถามและคำตอบทั้งหมดได้ แต่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณไม่สามารถตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตัวเองได้ก็ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะคุณคือคนทั่วไปที่เป็นปกติ อย่างที่ผมเกริ่นในย่อหน้าแรกเลย นั่นคือ “คนส่วนใหญ่กลับไม่รู้ตัวว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย หรือ ความสำเร็จอย่างที่เค้าต้องการ”

ผมเลยอยากให้เนื้อหานี้เป็นจุดตั้งต้นว่า เราจะเป็นคนทั่วไป ที่มีปัญหามากมายหลายอย่างที่แก้ไม่ออก หรือว่าเราจะเริ่มตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆที่เรากำลังเจออยู่แล้วเริ่มหาคำตอบมัน เพื่อให้คำตอบเหล่านั้นพาเราไปสู่จุดที่เราต้องการกันแน่ เพราะเมื่อเรามีการตระหนักรู้เราจะเริ่มคิดหาวิธีทางออกหรือคำตอบตอบคำถามต่างๆในลำดับต่อไป

ตั้งเป้าหมายอยู่ในโลกความเป็นจริง

ในหัวข้อนี้จะคล้ายกับการหาคำตอบของคำถามที่เราได้ตั้งขึ้นมาที่พูดคุยกับตัวเอง แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือขนาดของเป้าหมายที่เราต้องกำหนดควรเป็นไปแบบสมเหตุสมผล

กลับมาที่ตัวอย่างเดิมถ้าเราพูดว่าเราอยากรวย บางคนอาจจะตอบว่า ฉันต้องมีพันล้านบาทถึงจะเรียกว่ารวย แต่ถ้าคุณมีต้นทุนอยู่แค่หลักหมื่นบาทจะทำให้เป็นพันล้านนั้นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายหรืออาจจะต้องแลกเวลาทั้งหมดกับชีวิตไปเพื่อให้ได้พันล้านนั้นมา ซึ่งโดยคนส่วนใหญ่เรียกได้ว่าแลกทั้งชีวิตก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย เป้าหมายแบบนี้ผมมองว่าไม่เหมาะเพราะเป็นไปไม่ได้จริง (ไม่ได้พูดในเชิงดูถูก เพราะมีความเป็นไปได้ แต่ว่าความเป็นไปไม่ได้สูงกว่ามากๆ แต่ถ้าลดเป้าลงมาเหลือหลักสิบล้าน แบบนี้เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทำได้ง่ายกว่า)

แต่ในทางกลับกันผมก็เจอคนอีกจำนวนไม่น้อยที่บอกว่าใช้เงินเพียงเดือนละ 5,000 บาทก็สามารถอยู่ได้ไปจนแก่แล้ว แต่ในความเป็นจริงมีน้อยคนมากที่จะสามารถใช้เงินเพียงเดือนละ 5,000 บาทได้ตลอดไป ตัวอย่างที่ชัดเจน คือหากเกิดการเจ็บป่วยหรือเป็นโรคที่เกือบจะเรียกว่าร้ายแรงก็ต้องใช้เงินมากกว่านี้ตั้งไม่รู้กี่สิบเท่าตัวแล้ว ดังนั้นการตั้งเป้าหมายแบบนี้ก็ดูต่ำเกินจริงไปเช่นกัน

เป้าหมายเหมาะสม

เป้าหมายที่เหมาะสมต่างหากจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดซึ่งอันนี้ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลอย่างที่ผมเคยบอกเลย

วิธีที่ง่ายที่สุดในการหาเป้าหมายที่เหมาะสมก็คือดูว่าเรามีความต้องการแบบไหนหรือว่ามีรูปแบบการใช้ชีวิตจริงอยู่เท่าไหร่ ตัวอย่าง ถ้าเป็นเรื่องเงินเราก็แค่ดูจากประวัติการใช้งานย้อนหลังไปช่วง 1 ปีที่ผ่านมาแล้วเราก็บวกเพิ่มเข้าไปอีกสัก 10 หรือ 20% เราก็จะรู้แล้ว ว่าถ้ามองล่วงหน้าไปอีก 10 ปี เราต้องมีเงินขั้นต่ำเท่าไร ย้ำว่านั่นคือขั้นต่ำ แต่ถ้าจะเอาให้ถูก เราต้องเอาไปเข้าสูตรการคำนวณแผนเกษียณ ที่มีการคำนวณ Future value ด้วย ตามอัตราเงินเฟ้อ ที่กรอกเข้าไป แบบนั้นถึงจะถูกต้องกว่า โดยเรามีฐานค่าใช้จ่ายปัจจุบันเป็นข้อมูลตั้งต้นเพื่อใช้คำนวณต่อไป จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมาก เพราะเป็นจุดที่ทำให้หลายคน “เห็นตามความเป็นจริง”

ผมเองเคยผ่านจุดนี้มา และเป็นความทรงจำที่ไม่มีทางลืมเลย เพราะย้อนกลับไปสัก 10 ปีก่อนได้ ที่ผมเคยลองคำนวณเงินที่ต้องใช้ตอนเกษียณ แล้วทำให้พบความจริงว่า เราต้องมีหลายสิบล้านบาท ทั้งที่ผมในตอนนั้นเป็นคนที่ประหยัดอดออม ใช้เงินค่อนข้างน้อย แต่ด้วยระยะเวลาที่อยากเกษียณเร็ว จึงต้องมีช่วงเวลาที่ใช้เงินนานกว่าจะตาย แล้วเมื่อคูณทบเข้าไปด้วยเงินเฟ้อในระยะเวลาของอนาคต ทำให้ต้องใช้เงินเยอะมากๆ ตอนนี้ อึ้งไปเลย แล้วก็เกินจินตนาการมากด้วย ว่าเราจะมีโอกาสหาเงินได้พอเกษียณจริงๆใช่มั้ยนะ ตอนนั้นเลยมุ่งเป้าหมายเพียง ทำงานเก็บเงินให้เยอะ เพื่อให้มั่นใจว่าอนาคตเราจะมีเงินเพียงพอใช้ไปจนเกษียณ แต่ไม่เคยมีตัวเลขที่แท้จริงเลย ว่าต้องเท่าไรคร่าวๆแค่ว่าหลังสิบล้านแต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเราจะทำมันได้จริงเหรอ จนไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมได้กลับมาตั้งคำถามเหล่านี้อีกครั้ง แล้วใช้เวลาคุยกับตัวเอง คุยกับตัวเลข จนกระทั่งได้เลขที่ผมคิดว่าใช่ และเหมาะสม รวมทั้งสิ่งต่างๆที่ต้องทำ เพื่อให้ครอบคลุมสถานการณ์ต่างๆ (เช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ) พอไปจนวาระสุดท้าย และเมื่อได้เป้าหมายที่ชัดเจน ก็พุ่งเข้าชนเลย นั่นแหล่ะ คือเป้าหมายที่เหมาะสมของตัวผมเอง

เบลอไปหมด

กว่าจะมาถึงย่อหน้านี้ มีสิ่งที่ต้องทำเต็มไปหมด และ คนส่วนใหญ่ ก็เลือกที่จะปล่อยเบลอไปเสียแล้ว และการปล่อยเบลอ ก็จะเหมือนการขับเรือออกไปกลางทะเล ที่ไม่มีการควบคุมหางเสือเพื่อกำหนดทิศทางที่แน่ชัดของชีวิตเราอีกแล้ว เรือก็จะสามารถเดินทางเลี้ยวไปไหนมาไหนแบบไร้ทิศทางไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่เราใช้ชีวิตในรูปแบบกึ่งอัตโนมัติ รู้แค่ว่า ต้องทำอะไรให้เสร็จบ้างในแต่ละวัน แล้วก็ผ่านไปแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี แต่พอถามเป้าหมายที่ชัดเจน ก็ตอบได้แค่เลือนลางอย่างที่คุยในย่อหน้าแรกๆ แล้ว ก็ปล่อยให้ผ่านไปอีกวันนึง ไม่จริงจัง เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมดนี่แหล่ะ

กลับมาจริงจังดูสิครับ ผมจดบันทึกความคิดตอนนั้นเอาไว้ด้วยว่า “เราที่เป็นคนทุ่มเททำงานให้บริษัท คิด วิเคราะห์วางแผน ทั้งกลยุทธ์ การเงิน กรอบเวลา วิธีการ เพื่อพาให้บริษัทประสบความสำเร็จ แล้วทำไมเราไม่ทำสิ่งนั้นให้กับชีวิต ซึ่งเป็นของตัวเราเองบ้าง” นี่เป็นคำถามที่ผมใช้ถามตัวเอง แล้วก็ใช่ครับ ถ้าผมวางแผนกลยุทธ์เหล่านี้ให้บริษัทได้ ผมก็ต้องทำให้ตัวเองได้ด้วย ไม่แตกต่างกันหรอก

จากนั้นก็ค้นหาเป้าหมายให้เจอ กำหนดให้ชัด เมื่อพิสูจน์ได้ว่าใช่แน่ ก็พุ่งเป้าไปเลย ระหว่างทางก็ไม่ง่ายครับ ชึ่งช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่สร้างเว็บ bemyblockchain ที่ทุกคนได้อ่านอยู่นี่แหล่ะ ผมก็ต้องทำอะไรหลายอย่างเยอะมากๆ หลายช่วงเวลาที่ก็ต้องทำเงียบๆคนเดียว เหนื่อยนะ แต่ก็บ่นอะไรไม่ได้ ผมแค่รู้ว่าเรากำลังทำอะไร ไปเพื่อเป้าหมายอะไรที่ชัดเจนเท่านั้น แล้วก็พับความเหนื่อย เดินหน้าต่อไป อย่าหยุด เท่านั้นแหล่ะ ในตอนนั้น ผมกำหนดเป้าหมายไว้ชัดเจนทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นกรอบเวลา ตัวเลข สิ่งที่ต้องทำ โดยอะไรที่ทำแล้วไม่ตอบสนองต่อเป้าหมาย ก็ลด ละ เลิกไปจนเกือบหมด สุดท้ายก็เป็นไปได้อย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้จริงๆ (จริงๆคือผลลัพท์ที่ได้ เกินกว่าความที่คาดหวังเอาไว้ไปเยอะมาก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี)

ช่วงนั้น ก็ต้องใช้ชีวิตแบบมุ่งมั่น ไม่เบลอ เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมาของการใช้ชีวิต ก็มีช่วงที่เบลอๆไปอยู่เยอะ ผมได้เรียนรู้ว่าช่วงที่เบลอๆนี่แหล่ะ ชีวิตเราเบาสบายดี คล้ายกับการนอนบนเรือกลางทะเล ที่ปล่อยลอยเคว้งคว้างไปเรื่อยๆ แต่ว่าเราก็ต้องละทิ้งเป้าหมายเราไปด้วยเช่นกัน

คุณคือคนเดียวที่จะต้องเลือก

เพราะคุณคือคนที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง ไม่ควรโยนภาระหน้าที่ความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เพราะผลกระทบต่างๆ ก็จะย้อนกลับมากระทบตัวเองอยู่ดีในท้ายที่สุด ดังนั้น เลือกให้ดีๆ คิดให้เยอะๆ เพราะเมื่อเราได้เลือกแล้ว การจะเปลี่ยนภายหลัง ก็มีค่าเสียเวลาที่ต้องจ่ายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเลือกแล้วห้ามเปลี่ยนตลอดไป เพราะถ้าผิดทางแล้วรู้เร็วรีบเปลี่ยนเร็ว ดีกว่าที่รู้ว่าผิดทางแล้วทนทำต่อไป

วางแผนเดินหน้า

ต่อเนื่องจากที่เราได้เลือกเป้าหมายที่เราต้องการเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องย้อนกลับมาวางแผนเส้นทางที่เราจะเดินไปให้ถึงจุดหมาย

ผมชอบรูป meme นึง ที่เค้ามักจะเปรียบว่าเวลาที่เราวางแผนเส้นทางไปยังเป้าหมาย เราคิดว่ามันมักจะเป็นทางตรง แต่ชีวิตจริงกลับขดไปขดมา กว่าที่เราจะไปถึงเป้าหมายได้จริงๆ เรื่องนี้ไม่เกินจริง เพราะชีวิตจริงมันขดไปมาจริงๆนั่นแหล่ะ แม้ว่าเราจะพยายามวางให้ตรงเป๊ะก็ตาม

สิ่งที่สำคัญในขั้นตอนนี้ ก็คือ การที่เราต้องแบ่งย่อยสิ่งที่ทำออกมา เป็นชิ้นเล็กๆ ที่จะใช้ประกอบไปสู่ชิ้นใหญ่ๆได้ เพราะถ้าสิ่งที่เราต้องทำ หรือเป้าหมายย่อย มันมีขนาดใหญ่เกินไปมากๆ หรือ ยากเกินกว่าที่จะทำได้สำเร็จ เราจะรู้สึกท้อกับสิ่งย่อยๆ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายใหญ่ในท้ายที่สุดอีกต่อด้วย

เป้าหมายเล็กๆ โดยเฉพาะที่เป็นจุดเริ่มต้น อยากให้เล็กจริงๆ แบบที่ทำได้จริงๆ แน่นอน ตัวอย่าง เป้าหมาย อ่านหนังสือ ปีละ 10 เล่ม ลองเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย อ่านวันละ 10 บรรทัดดูครับ แค่ 10 บรรทัดเท่านั้นในวันแรก เมื่อเราทำได้แล้ว เราจะเกิดความภูมิใจเล็กๆ ว่าเราได้เข้าใกล้เป้าหมายของเรานิดนึงแล้ว จำนวนยังไม่ใช่ความสำคัญในตอนเริ่ม แต่จิตใจที่จะนำไปสู่วินัยต่างหากที่สำคัญกว่ามาก และเมื่อทำไป ค่อยๆเพิ่มจำนวนทีละนิด สมมุติว่า เราอ่านได้ถึงวันละ 10 หน้าคงที่ ถ้าผ่านไปทั้งปี เรายังอ่านได้วันละ 10 หน้า เชื่อมันครับว่า นั่นคือ จำนวนประมาณ 10 เล่มต่อปีแล้ว (10*365 = 3650 ถ้าหนังสือหนา 365 หน้า เท่ากับอ่านจบไป 10 เล่มพอดี แต่ความจริงหนังสือส่วนใหญ่จะบางกว่านี้ด้วย แต่ชดเชยกับตอนที่เริ่มแบบช้าๆ) ดังนั้น การที่เราจะเป็นคนที่อ่านหนังสือ ปีละ 10 เล่ม ไม่ใช่เรื่องยากเลย จากที่ไม่เคยอ่านสักเล่มเลยก็ตาม ตัวอย่างแบบนี้ อยากให้ลองเอาไปประยุกต์กับเรื่องอื่นๆดู ก็คือ จากจุดเล็กๆ ทำให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

ลงมือทำ

อย่างที่ย่อหน้าบนได้บอกเอาไว้ ว่าเมื่อเราตั้งเป้าเล็ก สิ่งที่สำคัญคือ ทำให้ได้ ในทุกวัน หรือ สม่ำเสมอ จนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำของชีวิต ไม่ใช่ อยากทำ เพราะเมื่อเป็นสิ่งที่ต้องทำเราจะทำ แต่ถ้าเป็นแค่สิ่งที่อยากทำ เราจะมีทางเลือก ว่าทำ หรือไม่ทำ แบบนี้ไม่เอา

การลงมือทำ ก็ให้ทำได้ต่อเนื่องอย่างที่ตั้งใจ แต่ถ้าวันไหนไม่ไหวจริง เทคนิคก็คือ ทำให้น้อยเท่าที่ไหว แต่ยังได้ทำ เช่น อ่านบรรทัดเดียว จบ ถือว่ายังได้อ่าน แต่นี้พอ เพราะนั่นคือการเพิ่มวินัยขึ้นสูงสุด ให้กับตัวเอง

วินัย คือกุญแจสำคัญ

ผมกล้าพูดได้ว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้ผมมาอยู่ในจุดที่เรียกว่าตัวเองสำเร็จได้ ก็คือ วินัย และนี่คือสิ่งที่ผมเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างไป จากตอนที่ผมลงทุนแล้วไม่สำเร็จมานานเป็นสิบปี

เมื่อก่อน ผมไม่ได้ใส่วินัยเข้าไปมากพอ โยนเงินเข้าไปแล้วก็จบ ไม่ได้ติดตามอะไรอีกเลย มาดูบ้างห่างๆ ตอนโยนเงินก็มีกลยุทธ์แหล่ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ไม่ได้ติดตาม ตรวจสอบกลยุทธ์ของตัวเอง ไปยันลืมไปเลยด้วยซ้ำ ว่าตอนที่เริ่มต้นนั้นคิดอะไรไว้ สุดท้ายก็ล้มเหลว พัง

ดังนั้น การทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ตามเป้า นั่นก็คือวินัยอย่างหนึ่ง ขอให้ทำต่อไป ถ้าคิดว่าเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดจะสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้จริงๆ อย่าหยุดครับ อย่างที่บอกถ้าไม่ไหวทำนิดนึงได้ก็ยังดี

ความเปลี่ยนแปลง

เชื่อผมได้เลยว่าถ้าทำแบบที่ผมเล่าไปจริงๆ ใส่ความมุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่ท้อในวันที่อ่อนล้าและเหนื่อย ทำให้เกิดความก้าวหน้าวันละนิดหน่อย ไปเรื่อยๆในทุกๆวัน ท้ายที่สุด จะประสบความสำเร็จได้อย่างที่เราตั้งเป้าหมายอย่างแน่นอน

ผมเชื่อคำพูดนึงที่นานมาแล้วว่า ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่ดวงจันทร์ ถ้าพลาด เราก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว ผมพูดบ่อย และก็เชื่อแบบนั้นจริงๆ เพราะผมคิดว่าถ้าเราได้ทำอะไรลงไปบ้างแล้ว ผลลัพท์มันออกมาทางที่ดีแน่นอนๆ แม้ว่าจะไม่สมผลอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ 100% แต่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ที่เราได้ตัดสินใจที่เลือกทำ เพราะผลลัพท์ออกมาดีกว่าที่เราไม่ได้ลงมือทำอย่างแน่นอน และมันก็มักจะเป็นอย่างนั้นจริงๆในเกือบทุกเรื่องด้วย

ไม่ยาก แค่ลงมือทำ

ส่งท้ายนี้ ผมคงบอกได้แค่ว่า ทั้งหมดที่เล่าไป แม้ว่าฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่หากลองพิจารณาดีๆแล้ว จะพบว่า มันไม่ยากเกินไปที่จะลงมือทำอย่าง แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการต่อสู้กับจิตใจตัวเอง เพียงเท่านั้น และเมื่อเรารู้อย่างนั้น ก็อย่าไปคิดอะไรเยอะตอนก่อนลงมือ ก็แค่สั่งให้ร่างกายทำไปเลย แล้วเมื่อเราเริ่ม เดี๋ยวก็จะมีพลังงานส่งให้เราทำต่อๆไปนั่นเอง (โมเมนตัม) ตัวอย่างนี้ ใช้ได้กับการออกกำลังกาย เพราะเมื่อเราคิดว่า ถึงเวลาต้องออกกำลังกาย สมองเราจะต่อต้านทันที แต่ถ้าเราเปลี่ยนชุด เดินไปยิมในแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย เมื่อถึงยิมเราก็ต้องไปทำอะไรในยิมบ้างแล้วล่ะ ถ้ามาถึงขนาดนี้แล้ว จะได้ไม่เสียเที่ยว อะไรแบบนี้ครับ คือเริ่มต้นแรงเสียดทานมันจะสูง แต่เน้นที่ลงมือทำไปเลย ที่เหลือก็เป็นเรื่องของอนาคตละ

หลังจากที่จบบทความนี้ก็เช่นกัน ลงมือทำเลยครับ อะไรสักอย่างแค่ลงมือทำ ลงมือคิด ลงมือจด เพื่อเริ่มต้นเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีมากขึ้นต่อไป

ทั้งหมดนี้ ก็คือ สิ่งที่ผมถอดออกมาได้จากประสบการณ์ตรง และจากที่ได้พูดคุยกับคนหลายคน และทำให้มองเห็นว่าปัญหาที่มีจุดร่วมกันคืออะไร และจะสามารถแก้ไขได้อย่างไร ลองนำไปปรับใช้กันดูได้ครับ