Update จากการที่ผมเรียนเรื่อง Trade strategy

จากที่เล่าไปครั้งก่อน ว่าจะไปเรียนรู้เรื่อง Trade strategy ผมก็นั่งคิดอยู่นาน ว่าจะเล่าเรื่องที่ได้ไปเรียนรู้มาดีมั้ย จนไปอ่านแนวทางความตั้งใจที่สร้างเว็บนี้ขึ้นมา ก็เลยคิดได้ว่า ไม่เล่าเรื่องนี้จะดีกว่า สาเหตุเพราะว่าเว็บนี้ ไม่ได้อยากจะเป็นเว็บที่คุยเรื่องการ trade หรือว่า จะมาบอกแนวโน้ม ขึ้น ลง หรือว่าจังหวะเข้าออก อะไรแบบนั้น แต่….. ลองอ่านต่อไปก่อนครับ

ผมเรียน จบไป course นึงแล้ว

โดยเป็นเรื่อง demand supply, candle stick , แนวรับแนวต้าน, price pattern, ความเสี่ยง

และได้ลองทำตาม practice แล้ว โดยไปลอง back test ดู (การ back test คือการไปทดสอบกับราคา asset ในอดีต เสมือนว่าเราไม่รู้ราคาในอนาคต เหมือนปัจจุบัน และค่อยๆ replay ราคาถัดไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจสอบผลลัพท์ของการตัดสินใจของเรา) ต้องบอกว่า ผมไม่สำเร็จในเรื่องนี้ และระหว่างการ practice กับ back test นั้น ก็ทำให้ผมตอบตัวเองได้เลย “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำ” คือระหว่างที่ทำ ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยากเป็นคนที่มาเฝ้าหน้าจอแทบทั้งวัน เพื่อวิเคราะห์ค่าต่างๆ ก่อนที่จะ take action ซื้อหรือขาย และวน loop แบบนี้ไปเรื่อยๆเป็นเดือนเป็นปี นั่นไม่ใช่ผมเลย

แต่ก็ยังกัดฟันเรียน course ที่สองต่อ เป็นเรื่อง Smart Money Concept โดยคิดเอาไว้ก่อนว่า มันคือการเรียนรู้ ได้ผลหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยหลังจากที่เรียนไปเกือบจบแล้ว และระหว่างนั้นก็ตั้งใจทำ practice / back test ก็ยิ่งตอกย้ำตัวเองแน่ชัด ว่านี่ไม่ใช่ทางผมเลย ถ้าผมต้องเฝ้าหน้าจอทุกวัน และทั้งวัน แม้ว่ามันจะทำเงินได้ แต่ผมก็ไม่เอาแบบนั้น

จากนั้นผมก็หลงทาง……

ที่หลงทางก็เพราะว่า ผมตั้งใจว่าจะใช้การ trade เป็นตัวที่สร้าง return ให้ตัวเอง เหมือนอย่างที่เคยทำเมื่อก่อน แต่ว่าอยากลับคมให้มันคมขึ้น แต่การเรียนครั้งนี้ มันยิ่งเหมือนทำให้ผมหลงทางว่า เราจะวิเคราะห์ตลาดอย่างไรถึงจะได้ผลลัพท์ที่ดีได้กันนะ

ได้แต่เก็บคำถามนี้เอาไว้ และมุ่งหน้าต่อ ท้อมีไว้ให้ลิงถือ

เรื่องสอง ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย

ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรจากสิ่งที่ผมเรียนเลย สิ่งที่ผมได้เรียนนั้น มันก็มีเรื่องการจัดการความเสี่ยงด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทั่วไป มักจะไม่ค่อยใส่ใจ กล่าวคือ เวลาที่เราจะ trade เราต้องจำกัดความสูญเสีย ให้เหมาะสม และ เราต้องหา Risk Reward Ratio ให้ได้ด้วย ก็คือ เราควรจะต้องรู้ว่า เราเสียได้ครั้งละเท่าไร และเราจะเสียได้ทั้งหมดกี่ครั้ง เพราะสิ่งที่กำลังทำ มันคือระยะยาว ดังนั้น เราต้องเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ และถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญด้วย

ผมก็ได้เข้าใจมากขึ้นว่า จริงๆแล้ว การที่เราจะ trade ไม่ใช่แค่มองความสำคัญแต่ผลตอบแทน แต่เราต้องมองให้เห็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น และเป็นไปได้ในการ trade แต่ละครั้ง เพื่อให้ในระยะยาวแล้ว เราจะได้ผลลัพท์ที่กำไรอย่างแน่นอน

ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราเล่นเกม โยนเหรียญ ทายหัว หรือ ก้อย โดยชนะได้เงินเพิ่มครึ่งนึงจากเงินเดิมพัน ถ้าแพ้เสียเงินเดิมพัน โดยทุกครั้งที่เล่น ต้องจ่ายค่าเล่น 10% ของมูลค่าเดิมพัน จากโจทย์นี้ ตอบได้มั้ยครับ ว่าระยะยาว ผลจะเป็นยังไง

ถ้าคุณตอบได้ และถูกต้อง แปลว่าเป็นคนที่เข้าใจความเสี่ยงแล้วครับ และมองเรื่องความเสี่ยงออก

คำตอบก็คือ ระยะยาว เราจะเป็นฝ่ายแพ้ แน่นอน

สาเหตุที่เป็นฝ่ายแพ้ มีสองเรื่องครับ การโยนเหรียญ ออกหัว ก้อย เมื่อเล่นไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีการโกงใดๆ อัตราการออกหัว และ ก้อย จะเท่ากัน นั่นหมายความว่าเราก็จะ เราจะไม่มีโอกาสที่จะได้กำไร หรือ กำไรที่ได้ จะไม่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว อีกเรื่องที่สำคัญที่ทำให้แพ้แน่นอน ก็คือ เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการเล่นทุกครั้ง ตรงนี้ ทำให้ระยะยาวขาดทุนเจ๊งได้อย่างแน่นอน ไม่มีทางอื่นเลย

มองหาแนวทางอื่น

จากที่หลงทางไปแล้ว เพราะว่ากำลังงงกับตัวเอง ว่าจะยังไงต่อกับเรื่องการ trade ต่อไปดี ก็นึกถึงระบบ trade ต่างๆที่ผมเคยได้เรียนรู้มา ไม่ว่าจะเป็น KZM (grid trade closed system) , DSM (Densri method), Rebalance ก็เลยคิดว่า หันไปศึกษาเรื่องพวกนี้เพิ่มเติม และเอามาปัดฝุ่นดีกว่า เพราะอยากมองหาอะไรที่มันเรียบง่ายแต่ได้ผลอย่างที่เราต้องการ

Grid trade

Grid trade มีข้อดีที่สำคัญที่สุดก็คือ เราสามารถ ซื้อถูกเพื่อขายแพงไปได้เรื่อยๆ ไม่มีวันจบ ถ้าเราวางกรอบราคาให้กว้างมาก เราจะครอบคลุมทุก range ของราคาได้เลย เราจะสามารถซื้อถูกขายแพงได้เสมอ ไม่ว่าราคาจะอยู่ช่วงไหนก็ตาม

แต่ว่าข้อเสียก็คือ มันใช้ประโยชน์จากเงินหน้าตักได้น้อยมาก เช่น เราแบ่งราคา จากบนลงล่าง ทั้งหมดมี 10 ไม้ (เท่ากับไม่ละ 10%) แต่ละไม้ห่างกัน 20% ดังนั้น หมายความว่า ถ้าเราซื้อขาย แบบนี้ 1 ครั้ง เราจะได้กำไร 20% แต่ว่า 20% มันเป็น ของต่อ 1 ไม้ ก็คือ 10% แปลว่า เราได้กำไรครั้งละ 2% ของ port 100% เท่านั้น ทั้งที่ราคาวิ่งขึ้นไปตั้ง 20% แล้ว จะเห็นได้ว่า อัตรากำไรต่อเงินหน้าตัก มันต่ำมากเลยแม้ว่าราคาจะเป็นขาขึ้นอย่างหน้าตั้งแล้วก็ตาม

แต่ว่า grid trade จะได้ผลลัพท์ที่ดี ในตอนที่ราคาเป็น side way ก็คือ ราคาวิ่งกรอบแคบๆ เราสามารถบีบ กรอบล่าง กับบนให้แคบๆ และลดจำนวนไม้ลง ทำให้ต่อหนึ่งไม้มีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้น การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้ได้ผลลัพท์กำไรที่ดีขึ้น โดยใช้วงเงินรวมเท่าเดิม

โดย grid trade นั้น ปัจจุบัน มีให้เราใช้เยอะมาก เช่น Binance ก็มี bot trade ที่เป็น grid ให้เราได้ใช้งานฟรี และตั้งค่าต่างๆให้ได้อย่างที่เราต้องการด้วย ไม่ต้องเขียน program อะไรเลย กดๆคลิกๆ ได้เลย

Rebalance

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

แต่ผมก็ไม่ได้จะบอกว่ามันไม่ดี อย่าใช้ ไม่ใช่เลยนะครับ แต่เราต้องเข้าใจมันใหม่ ว่ามันมีไว้เพื่ออะไร? โดยปกติ rebalance เค้าจะมีไว้ใช้เพื่อการ “ลดความเสี่ยง” ของ port เรา ไม่ใช่ “สร้างผลตอบแทนเพิ่ม” ดังนั้นเราต้องมองเครื่องมือแต่ละอย่างให้ออก ถึงจะใช้มันได้อย่างถูกวิธี และมี mind set และมุมมองอย่างถูกต้อง

DSM

DSM เช่นกัน เมื่อหลายปีก่อน ผมเคยเขียน bot ให้รัน DSM บน Bitcoin price history แล้วก็เก็บผลลัพท์เอาไว้ใน document ซึ่งตอนนั้น ผมยังไม่เข้าใจเรื่อง ความเสี่ยง และ หัวใจของแนวคิดนี้อย่างถึงแก่น ในตอนนั้นผมสรุปกลยุทธ์นี้เอาไว้ว่า “วิธีนี้ ไม่ได้สร้างผลตอบแทน ให้สูงเกินกว่า การ buy & hold” (จริงๆ เนื้อหา และรายละเอียดมียาวเป็นสิบหน้าเลย) ถึงแม้ว่า DSM จะสร้าง cash flow ออกมาได้ระหว่างทาง แต่ว่าตอนจบ รวมๆแล้ว มันแพ้ buy & hold เสมอ ไม่ว่าจะปรับ config setting อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นก็เลยไม่ได้ใช้งานจริง

--------------------------------------------------------------

เนื้อหาพิเศษ ต้องแลกด้วย Reach เท่านั้น

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาพิเศษ จะต้องใช้ reach ในการเข้าอ่านเนื้อหาจุดนี้ เมื่อแลกด้วย reach แล้วจะสามารถอ่านเนื้อหาที่ซ่อนอยู่เพิ่มเติมได้ หากมี reach แล้วกรุณา login ก่อน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่อง Reach

ผมก็เลยมองภาพใหญ่ๆ เข้าใจมันมากขึ้นแล้ว ว่าเกมการลงทุนระยะยาว เราจะมองแต่ผลตอบแทน จุดเข้าออก อย่างเดียวไม่ได้ แต่เราต้องมองเรื่องความเสี่ยงให้ออก และ ให้เหมาะสมกับตัวเรา ความต้องการ และเป้าหมายด้วย

Turtle system

ต่อเนื่องจาก DSM ที่เค้าบอกว่า มีฐานความคิด ค่อนข้าง คล้ายกับ Turtle system ผมก็เลยไปศึกษาเรื่องนี้ต่อ จนทำให้พบว่า Turtle system มันก็สอนเราหลายเรื่องอีกเหมือนกัน โดยไล่เรียงกันมาดังนี้

  • เรียบง่าย มีวินัย อย่าใช้อารมณ์ ทำตามระบบเท่านั้น เพื่อให้มันง่าย และไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ทำได้
  • ความเสี่ยง เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด คำนวณขนาดของแต่ละการ trade ให้เหมาะสมก่อนทุกครั้ง
  • เลือกใช้ setting ให้เหมาะสมกับ assets
  • การหาจุดเข้า
  • การหาจุดออก
  • การกำหนด stop loss เพื่อลดความเสี่ยง ของการสูญเสีย

แต่มันเยอะ ยาว และมีหลักการที่ต้องคิดคำนวณมากพอสมควรเลย เลยไม่กล่าวถึงและกัน แต่โดยสรุป ก็เป็นการเน้นย้ำเรื่องที่ผมให้ความสำคัญ และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมอยากบอกให้ทุกคนรู้ด้วย ว่า key มันมีไม่กี่อันหรอกครับ ความเสี่ยง, วินัย, เล่นตามแผน (อย่าใช้อารมณ์) ที่เหลือมันก็สำคัญเป็นเรื่องรองๆลงมา เพราะเราต้องยืนระยะยาวให้ได้ ไม่ใช่นักพนันที่เล่นทีละหมดหน้าตัก ที่กะว่าหวดไม้เดียวก็ให้รวยไปเลย หรือไม่ก็หมดตัวกันไปข้างนึงอะไรแบบนั้น

เหมือนจะเจอทางออก

จากการศึกษา ค้นคว้าไปเรื่อย ก็ไปเจอแนวทางนึง ที่มันเรียบง่าย และ simple น่าสนใจ ที่คิดว่า ใครก็ทำได้ หลังจากนั้น ผมก็ใช้เวลาไปอีกนานมาก ในการทดสอบ back test กับแนวทางนี้ โดยยืนอยู่บนพื้นฐานเดิม ก็คือ คุมความเสี่ยงได้, ทดสอบแบบมีวินัย , เล่นตามแผน (อย่าใช้อารมณ์) ถ้าสัญญาณบอกให้ออก คือออก บอกให้เข้า คือเข้า ทื่อๆแบบนั้นเลย กำไรคือกำไร ขาดทุนคือขาดทุน บันทึกเอาไว้

ซึ่งหลังจากที่ใช้เวลาอยู่หลายวันกับการ back test หลายๆทรัพย์สิน ก็ทำให้พบว่า มันทรงพลังมาก เมื่อเอามาใช้กับ crypto currency ทำให้ผมอึ้งเลย มันช่วยสร้าง port ให้เติบโตให้ได้สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยแนวความคิดที่เรียบง่าย จากสัญญาณตัวนี้ เพื่อบอกจุดเข้าและออก อีกทั้งยังควบคุม draw down ได้ดีไม่ต่ำมากจนเกินไปด้วย

แม้ว่า จะไม่กำไรทุกไม้ และบางครั้งเสียติดๆกัน 7 ครั้งรวด ที่เข้าก็ตาม แต่ตัวอย่างที่ผมรันกับ Bitcoin ไม้แรกที่ซื้อ คือราคา $11,177 โดยสมมุติว่า ลงทุน $100,000 (เพื่อไม่ให้เลขมันน้อยจนเป็นเศษส่วน แต่ความจริงคือปรับสัดส่วนได้ เพราะมันจะคิดตามสัดส่วนเป็น %) เมื่อตอน 2018 และผ่านมาจนวันนี้ ที่ราคา $27687 ถ้าเรา buy & hold port value จะกลายเป็น $235,345 แต่ด้วยระบบนี้ ทำให้เติบโตกลายเป็น $696,431 เลยทีเดียว

ถ้าว่าแค่นั้นอึ้งแล้ว มีอึ้งกว่า คือ BNB ที่ เข้าเมื่อ 2018 ราคา $12.1 ด้วยทุน $100,000 เหมือนกัน ถ้า buy & hold ถึงวันนี้ ที่ราคา $317.4 จะมี port value จะกลายเป็น $2,539,200 แต่ถ้ารัน back test ด้วยแนวทางนี้ port value จะกลายเป็น $9,613,530 ผมนี่อึ้งกับตัวเลขไปเลย ถามจริ๊ง (แม้ว่าเสียหลายไม้ และเสียแบบโหดๆ ระดับแบบไม้ละ $500-$900k เลยนะ ยังเหลือเท่านี้)

แต่อย่าพึ่งดีใจไป ตัวที่เสียก็มีเหมือนกัน เช่น LINK รันดูแล้ว buy & hold เริ่มที่ $100k จะจบที่ $356,025 แต่ระบบนี้ กลับเหลือเพียง $187,214 เท่านั้น (แต่นี่เป็น เพียงตัวเดียว จาก 10 ตัวที่ผมรัน back test แล้วได้ต่ำกว่า อีก 9 ตัว เยอะกว่า buy & hold ทั้งหมด)

สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือ ไปเจอ XMR ว่า จบสุดท้าย buy & hold จะเหลือต่ำกว่า $100,000 (เพราะราคาปัจจุบัน ต่ำกว่าไม้แรกที่เข้า) แต่ระบบนี้ ก็ยังสร้าง port ให้เป็น $116,594 คือยังถือว่ามีกำไรได้แม้ว่าจะบางเฉียบก็ตาม นั่นหมายถึงการควบคุม draw down ได้ดีด้วย และลดความเสี่ยงลงได้

แต่ผมขอยังไม่บอก ว่ามันทำงานยังไง setting อะไร เป็นแบบไหน ผลการรันอะไรเป็นยังไง (มันเรียบง่าย ชนิดที่ว่า ใช้ tradingview ตัวฟรีก็ทำได้เลยมี indicator ตัวเดียวเท่านั้น) แต่ขอเวลาผมไปศึกษารายละเอียดของตัวนี้ให้ดีกว่านี้ ผมสัญญาไว้ตรงนี้ ว่าครั้งหน้า กลับมาบอกแน่นอน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ หลักการทำงาน แนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง ความเสี่ยง ข้อเสีย (อย่าฟังแต่ข้อดี) ส่วนใครจะใช้ไม่ใช้ ก็สุดแท้แต่จะไปพิจารณากันเอาเองเลย และคิดว่า จะเป็นครั้งเดียวที่บอกเรื่องนี้ด้วยครับ (มันไม่ได้เป็นความลับอะไรหรอก แต่ไม่ได้อยากเปลี่ยนที่นี่กลายเป็นแนวทางอย่างอื่นไปซะก่อน)

รอติดตามกันครับ

ป.ล. อย่างน้อย สิ่งที่เรียนมา มันก็มีประโยชน์ แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำอย่างที่เค้าสอนก็ตามทีเถอะ แต่อย่าหยุดเรียนรู้ครับ เก่งขึ้นวันละนิดหน่อย แต่เราก็เป็น better version ในทุกๆกัน